ผู้เขียน หัวข้อ: จงใช้ชีวิตเสมือนว่าราตรีนี้เป็นวันสุดท้าย  (อ่าน 3295 ครั้ง)

ออฟไลน์ เลิศชาย ปานมุข

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3926


จงใช้ชีวิตเสมือนว่าราตรีนี้เป็นวันสุดท้าย (ใยไหม)

          การเฝ้าบอกตัวเองว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต ที่จะมีโอกาสชื่นชมโลกใบนี้ ถือว่าเป็นการสร้างความรู้สึกไม่ให้ตัวเอง เกิดความประมาทต่อเวลาที่เหลืออยู่ ทำให้เรียนรู้ที่จะเกี่ยวข้องกับสิ่งต่าง ๆ อย่างรู้คุณค่ากระทั่งรู้ว่าชีวิตนี้ควรจะใช้สอยอย่างไร

          "วันเวลาผ่านไป ใจของเราล่ะ ?"

          เป็นประโยคที่นักปราชญ์ทั้งหลายมักจะตั้งขึ้นเป็นคำถามเกี่ยวกับชีวิตให้คนเราได้เรียนรู้ อย่างน้อยก็เป็นการกระตุก ความรู้สึกของผู้ถามเองว่า "วันนี้ใช้ชีวิตไปในทิศทางใด"

          เพราะหากเราประมาทหรือหลงมัวเมาอยู่กับเปลือกของชีวิต ทั้งที่เป็นลาภ ยศ สรรเสริญ และความสุขที่ชาวโลกเข้าใจกัน เปลือกเหล่านี้ย่อมห่อหุ้มตัวตนเดิมแท้ของชีวิตให้หมดสิ้นไป สุดท้ายก็ทำให้หลงยินดีกับเปลือกที่ลวงตา จนยากที่จะสลัดให้หลุดออกไปได้

          เมื่อเราใช้ชีวิตท่ามกลางความหลงเพลิดเพลิน ก็ไม่ต่างอะไรจากคนที่มีตาแต่มองไม่เห็น มีหูแต่ฟังไม่ได้ยิน มีใจแต่ไร้ความรู้สึกนึกคิดในสิ่งที่ถูกต้องดีงาม ด้วยเหตุนี้สิ่งที่มีอยู่ก็ไม่ต่างอะไร จากสิ่งที่เรียกว่า "ขยะชีวิต" ดี ๆ นี่เอง

          แต่สำหรับคนที่เห็นคุณค่าของตัวเอง ย่อมเรียนรู้ที่จะทำความเข้าใจกับชีวิตคือกายและใจ อันเป็นองค์ประกอบที่สำคัญด้วยปัญญา ทำให้หลุดจากวงโคจรของความลุ่มหลงได้ เพราะเข้าใจว่าจุดหมายที่แท้จริงของชีวิตนั้นคืออะไร รู้ว่าแก่นสาระที่จะพึงให้บังเกิดมีในตนนั้นควรสร้างขึ้นอย่างไร

          สิ่งที่ปราชญ์ทั้งหลายให้ข้อคิด เพื่อให้ชีวิตนี้มีความสุข และความดีงามมาประดับตน นั่นก็คือให้รู้จักบอกกับตัวเองเสมอว่า "จงใช้ชีวิตเสมือนว่าเป็นราตรีสุดท้ายให้ได้"

          ผู้อ่านเคยสังเกตความรู้สึกของตัวเองไหมว่า เวลาที่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักและเต็มที่กับสิ่งนั้น ทุกความคิดและการกระทำจะเต็มไปด้วยความทุ่มเทและระมัดระวัง เราจะมีสติเข้าไป คอยควบคุมมิให้เกิดความผิดพลาดอยู่เสมอ

          สิ่งที่ตามมาจากการรู้จักระวัง ย่อมทำให้ชีวิตรู้คุณค่าในสิ่งที่เกี่ยวข้องมากขึ้น และทำให้ความรู้สึกดีที่เราปรารถนาเกิดขึ้นในใจอยู่เป็นนิจ ทุกความรู้สึกและการกระทำ จึงเปี่ยมไปด้วยความงดงาม และน่าทะนุถนอมเกินจะหาใดปาน

          การใช้ชีวิตโดยการเปรียบเทียบว่าเสมือนเป็นคืนสุดท้ายที่ต้องอยู่บนโลกนี้ก็เช่นเดียวกัน ความรู้สึกที่เราสร้างขึ้นในใจเช่นนี้ ย่อมมีสิ่งต่าง ๆ คอยเตือนเราไม่ให้ประมาท และคอยเป็นกัลยาณมิตรเตือนให้รู้จักไขว่คว้าสิ่งที่ดีสำหรับตัวเองอยู่เนือง ๆ ทำให้เราได้มีโอกาส ทบทวนชีวิตตามความเป็นจริง ทบทวนความบกพร่องที่ผ่านมาในอดีต และคำนึงถึงเป้าหมายในอนาคตโดยอาศัยปัจจุบันเป็นจุดเริ่มต้น

          เพราะคิดว่าวันนี้คือวันสุดท้ายของชีวิต จึงต้องทำสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง ด้วยการมีวิธีคิดเช่นนี้อยู่บ่อย ๆ ย่อมทำให้เราตระหนักรู้ในสิ่งต่าง ๆ อย่างรู้ค่า และรู้จักปรับเปลี่ยนชีวิตให้มีสมบัติที่แท้จริงแก่ตัวเอง ด้วยเหตุนี้ความสุขที่จะพึงหวังจึงเริ่มมีมากขึ้น

          อีกเหตุผลหนึ่งที่การเปรียบชีวิตเป็นเช่นกับว่าราตรีนี้เป็นวันสุดท้ายนั้นส่งผลสะท้อนที่ดีงามก็คือ การมีโอกาสได้ทำความเข้าใจชีวิตที่เป็นปัจจุบัน ทำให้รู้จักเรียนรู้ที่จะอยู่กับชีวิตแต่ละขณะอย่างรู้เท่าทันด้วยสติมากขึ้น

          เพราะเมื่อจิตประวิงถึงว่า วันนี้เป็นวันสุดท้ายในชีวิตของตน สิ่งหนึ่งที่จะแทรกเข้ามาในความรู้สึกโดยอัตโนมัติก็คือ "ความต้องการ คำตอบสุดท้ายในชีวิต" คำตอบที่หมายถึงการไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารอันยาวนานนี้ หรือคำตอบที่ช่วยคลายความสงสัยหลังจากชีวิตนี้สิ้นลง

          เมื่อมีคำถามที่ต้องการทราบเช่นนี้ผุดขึ้นในใจ สิ่งที่ตามมาย่อมทำให้รู้จักเลือกว่า ชีวิตที่เหลืออยู่จะทำอะไรเพื่อตัวเอง สุดท้ายมักจะสลัดความจำเป็นที่เป็นเปลือกของชีวิตทิ้งไปได้จนทำให้มุ่งมั่นที่จะแสวงหาความดับทุกข์โดยสิ้นเชิงให้แก่ตัวเอง

          การเฝ้าบอกตัวเองว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิตที่จะมีโอกาสชื่นชมโลกใบนี้ ถือว่าเป็นการสร้างความรู้สึกไม่ให้ตัวเองเกิดความประมาทต่อเวลาที่เหลืออยู่ ทำให้เรียนรู้ที่จะเกี่ยวข้องกับสิ่งต่าง ๆ อย่างรู้คุณค่า กระทั่งรู้ว่าชีวิตนี้ควรจะใช้สอยอย่างไร

          เพราะหากเราทบทวนชีวิตที่กำลังสาละวนอยู่กับการที่ชีวิตมิควรหลงใหลได้ปลื้มจนเกินเหตุ แต่ควรเกี่ยวข้องอย่างพอเหมาะต่อสิ่งที่มี เราควรใช้เวลาที่มีอยู่เพื่อเรียนรู้แก่นสารของชีวิต คือ เข้าใจทั้งต้นเหตุของการเกิด ขณะการก้าวย่าง และจุดจบของชีวิตอย่างผู้มีปัญญา

          ปัญญาที่ถูกฝึกหัดขัดเกลาอย่างถูกวิธี ย่อมเปิดโลกของความจริงในทุกด้านให้เราได้รับรู้ และสัมผัสกับสาระของชีวิตตามความเป็นจริง เมื่อนั้นเวลาที่มีอยู่และการจากลาโลกนี้ จึงชื่อว่าเป็นการเกิดและการจากลาที่คุ้มค่าสำหรับตัวเรา

          โปรดใช้ชีวิตประหนึ่งว่าเป็นวันสุดท้าย และเป็นวันเต็มเปี่ยมด้วยปัญญาที่ต้องการค้นหาคุณค่าให้ตัวเอง แม้วันหนึ่งจะต้องจากโลกนี้ไป เราก็บอกตัวเองได้ว่า ครั้งหนึ่งได้แสวงหาความงดงามให้กับชีวิตเต็มที่แล้ว การเกิดของเราจึงชื่อว่าไม่เป็นหมันอีกต่อไป



ขอขอบคุณข้อมูลจาก

หนังสือทำใจเสียบ้าง แล้วทุกอย่างจะดีขึ้น
โดย : พระชุติปัญโญ



ที่มา  :  http://hilight.kapook.com/view/78001