ผู้เขียน หัวข้อ: ข้อคิดที่ได้จากหนังสือ อะไรที่คนสำเร็จมีเหมือนกัน  (อ่าน 1849 ครั้ง)

ออนไลน์ เลิศชาย ปานมุข

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3923
1. มีเป้าหมายที่ชัดเจน
 
ก่อนที่คุณจะประสบความสำเร็จในเรื่องใดก็ตาม สิ่งที่คุณจะต้องทำก่อนก็คือ ต้องรู้จักตนเองว่าเราชอบอะไร จะได้ไม่ต้องมารู้ตัวทีหลังว่าตนเองไม่ได้ชอบเมื่อได้สิ่งนั้นมาแล้ว ถ้าไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ก็ให้ทำการเขียนในสิ่งที่ชอบออกมา แล้วลองไล่ดูทีละข้อว่ามีข้อไหนที่เราอยากจะประสบความสำเร็จมากที่สุด ก็ให้เราเลือกสิ่งนั้นเป็นเป้าหมายอันดับแรก ส่วนข้ออื่นก็ให้ทำคล้าย ๆ กัน แต่สำหรับคนที่เพิ่งจะเริ่มตั้งเป้าหมาย ขอแนะนำว่าให้เริ่มทำไปทีละข้อก่อน เมื่อเริ่มคุ้นชินแล้วก็ค่อยขยับไปทำทีละหลาย ๆ อย่าง จะทำให้เราไม่ต้องเครียดมากนัก ที่สำคัญเป้าหมายที่เราต้องการนั้นจะต้องชัดเจน เฉพาะเจาะจง เป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกอยากจะลองทำดู การตั้งเป้าหมายที่กว้างเกินไปอาจจะทำให้เรามองไม่เห็นภาพ โอกาสที่จะสำเร็จจะน้อย แต่เป้าหมายที่ชัดเจนและท้าทายนั้นจะทำให้เราเห็นภาพได้ว่าเราจะสำเร็จได้อย่างไร พร้อมกับมีแรงจูงใจที่จะทำอยู่เสมอ

2. ลงมือทำเมื่อรู้เป้าหมายแล้ว

สิ่งที่จะทำให้เราพัฒนาตนเองได้เร็วที่สุดก็คือการลงมือทำ ถ้าเรายังไม่ลงมือทำ ก็ให้กลับมาคิดดูว่าทำไมเราถึงไม่ทำ มีอะไรที่ต้องแก้ไขปรับปรุงหรือไม่ ถ้ายังขาดเงิน ก็ให้เริ่มต้นเก็บเงิน หารายได้เสริม หรือถ้าขาดความรู้ ก็ให้หาความรู้เพิ่มเติม ส่วนเรื่องของเวลานั้นเราสามารถแบ่งเวลามาทำในสิ่งที่เราชอบได้ แค่ทำวันละ 30 นาทีหรือ 1 ชั่วโมง แต่ทำทุกวัน ความสำเร็จก็จะเริ่มมีขึ้นทีละน้อยแล้ว สิ่งที่ทำให้เราไม่เริ่มทำสักทีนั้นก็อาจจะเป็นเพราะว่าเรายังไม่เห็นความสำคัญกับสิ่งนั้นมากนัก เราจะเริ่มทำอะไรสักอย่างก็เพราะเห็นว่าสิ่งนั้นสำคัญสำหรับเรา แต่บางคนที่กลัวว่าจะล้มเหลวนั้นก็ไม่ต้องกลัวไปครับ เพราะทุกอย่างก่อนที่จะประสบความสำเร็จนั้นมักจะต้องล้มเหลวมาก่อน ขอแค่เราล้มแล้วลุกขึ้นมาทำต่อได้ก็พอ แล้วเราจะประสบความสำเร็จได้ถ้าทำไม่เลิก แต่สำเร็จ โทมัส เอดิสัน นั้นเขาบอกว่าตนเองไม่เคยล้มเหลว แต่เขาเห็นค้นพบว่ามีทางกว่าหมื่นวิธีที่ทำแล้วไม่ได้ผลต่างหาก ถ้าเราคิดแบบเดียวกับเอดิสัน โอกาสที่เราจะพบกับความล้มเหลวก็แทบจะไม่มีเลย เพราะจะเจอแต่ความรู้ใหม่ ๆ เสมอเท่านั้น

3. พัฒนาความสามารถเพื่อเป็นผู้นำที่มีคุณภาพ

การจะเป็นผู้นำที่ดีได้นั้น เราจะต้องมีคุณสมบัติมากมายด้วยขึ้น คือความสามารถโดยรวมจะต้องเก่งกว่าคนอื่น แต่ถ้าจะแบ่งให้เห็นคร่าว ๆ ก็จะมีอยู่ด้วยกันสองเรื่องก็คือ ทำงานเก่ง กับ บริหารคนเก่ง การทำงานเก่งนั้นจะต้องมาจากความรู้และประสบการณ์ที่เรามีเกี่ยวกับงานนั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งแวดล้อม อุตสาหกรรม หรือแนวทางธุรกิจของบริษัทคู่แข่ง การหาความรู้นั้นในสมัยนี้ก็ไม่ยากแล้ว เพราะมีคอร์สสอนผู้บริหารอยู่มากมาย นอกนั้นก็ต้องอาศัยประสบการณ์ ยิ่งมีประสบการณ์ในงานนั้นมากเท่าไหร่เราก็จะเก่งมากขึ้นเท่านั้น ส่วนการบริหารคนนั้นนอกจากเราจะต้องมีความสามารถที่เหนือกว่าแล้ว เราจะต้องอาศัยเวลาเพื่อสะสมประสบการณ์ด้วย เพื่อที่จะได้รู้ว่าจะเข้าหาผู้คนแต่ละแบบอย่างไร และเรื่องสำคัญอีกอย่างของผู้บริหารก็คือ จะต้องเป็นคนที่กล้าตัดสินใจ ถ้ามัวแต่กลัวผิดก็ต้องไม่ทำอะไรเลย แบบนั้นถึงมีก็เหมือนไม่มี แต่การตัดสินใจนั้น ถ้าเรายังไม่แน่ใจในผลลัพธ์ ก็ควรที่จะเผื่อเจ็บตัวด้วย ลงทุนในระดับที่เราสามารถยอมรับความเสียหายได้ ถ้าตัดสินใจผิด เราจะได้นำประสบการณ์มาปรับปรุงตนเองต่อไป ซึ่งจะทำให้เราเข้าใกล้ความสำเร็จได้เร็วขึ้น

4. เริ่มต้นจากสิ่งเล็ก ๆ ไปก่อน

ในการทำอะไรสักอย่างให้สำเร็จได้นั้นเราจะต้องเริ่มต้นทำด้วยสิ่งเล็ก ๆ ไปก่อน แล้วค่อยเก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเริ่มมีความชำนาญในเรื่องนั้นมากขึ้น เราก็จะเริ่มสามารถสร้างธุรกิจที่ใหญ่โตขึ้นไปได้โดยไม่ยาก ก่อนอื่นเราก็ต้องตั้งเป้าหมายในระยะยาวที่ไม่ยาวมากนักก่อน เช่น ภายในหนึ่งปีเราอยากจะมีเงินสัก 1 ล้านบาท หรือ อยากจะมีเงินสัก 3 แสนบาทในหนึ่งเดือน เป็นต้น แต่ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายแบบไหน เราก็ควรที่จะมีรายได้เสริมมาช่วยให้เป้าหมายของเราสำเร็จได้เร็วขึ้นด้วย เช่นการทำขนมขาย แต่ในการลงทุนนั้นเราควรที่จะเริ่มต้นลงทุนด้วยเงินจำนวนน้อยที่สุดไปก่อน เมื่อทำได้แล้ว ก็ค่อยนำกำไรนั้นมาเป็นทุนอีกที เราก็จะมีเงินทุนมากขึ้น เมื่อผ่านไปสักระยะธุรกิจของเราก็จะเป็นธุรกิจที่มีเงินทุนจำนวนมากไปเอง แค่ทำตามแบบที่เราทำมาวนซ้ำไปเรื่อย ๆ เท่านั้น จากธุรกิจขนาดเล็กก็สามารถกลายเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ได้

5. เลิกเปรียบเทียบกับคนอื่นแล้วเป็นตัวของตนเอง

สิ่งที่ทำให้เรามีความสุขนั้นมีอยู่มากมาย อยู่ที่ว่าเราจะเลือกทำในสิ่งที่เราชอบได้มากแค่ไหน แต่สิ่งที่จะทำให้เราเป็นทุกข์ได้ก็คือ การพยายามทำตามคนอื่น บางทีการเอาคนอื่นเป็นตัวอย่างก็สามารถทำให้เรามีกำลังใจที่จะทำตามได้ ถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เราชอบจริง ๆ แต่ถ้าสิ่งนั้นไม่ใช่สิ่งที่เราชอบ แต่เราไม่อยากที่จะตกกระแสหรือตกเทรนด์ แล้วเราไปฝืนทำตามคนอื่นเพียงเพราะไม่อยากที่จะแปลกแยก การทำแบบนี้ในเวลาไม่นานเราก็จะเริ่มเหนื่อยแถมยังเสียเงินไปโดยใช่เหตุ เพราะเราไปทุ่มเทให้กับสิ่งที่เราไม่ได้ชอบ หรือแม้ว่าเราจะชอบสิ่งเหล่านั้นแต่กำลังของเราไม่พอ เราก็จะลำบากในการไปไล่ทำตามคนอื่นเหมือนเดิม เช่น ถ้าเราเห็นคนอื่นไปเที่ยวทะเล หรือไปต่างประเทศ ถึงเราจะชอบจริง แต่ถ้าเราไม่มีเงินมากพอ แล้วไปดิ้นรนที่จะไปให้ได้แบบเขา เราก็จะทุกข์ทั้งกายและใจ แม้ว่าเราจะทำได้ แต่เราก็แค่ทำได้ดีรองลงมาจากเขาเท่านั้น ทางที่ดีให้เราเป็นตัวของตนเองจะดีที่สุด เพราะเราไม่ต้องไปแข่งขันกับใคร เลิกเปรียบเทียบตนเองกับคนอื่นแล้วมีความสุขกับการได้ทำในสิ่งที่เราชอบและเป็นตัวของตัวเองจะดีกว่า

6. เก่งแค่อย่างเดียวก็พอแล้ว

เราจะสังเกตุเห็นได้ว่าคนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่นั้นมักจะเป็นคนที่พัฒนาตนเองจนเชี่ยวชาญในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเสมอ น้อยครั้งที่เราจะเห็นคนที่เก่งหลายอย่าง เพราะการที่เราจะเก่งและเชี่ยวชาญอะไรสักอย่างนั้นเราจะต้องใช้เวลากับสิ่งนั้น ลองผิดลองถูกไปเรื่อย กว่าที่จะเก่งและเชี่ยวชาญได้ก็อาจจะใช้เวลาไปเป็นปีหรือหลายสิบปี แต่มนุษย์เรานั้นมีเวลาที่จำกัด ด้วยอายุขัยของมนุษย์ในปัจจุบันจึงทำให้การที่เราจะเก่งรอบด้านได้นั้นเป็นไปได้ยากมาก ดังนั้นถ้าเราอยากจะประสบความสำเร็จในชีวิต ขอแค่เราเก่งในเรื่องใดเรื่องหนึ่งก็พอแล้ว ถ้าเรามีความเชี่ยวชาญจริง เราก็สามารถที่จะใช้สิ่งนั้นเลี้ยงชีพของเราได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความรู้ ทักษะ หรือ การกีฬา ถ้าเลือกได้แล้วว่าอะไรคือสิ่งที่เราชอบ ก็ให้เราทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับสิ่งนั้นอย่างเต็มที่ ในไม่นานเราก็จะเก่งในเรื่องนั้นได้เอง

7. ความสำเร็จเป็นรางวัลของความอดทน

บางเราอาจจะมีไอเดียต่าง ๆ ผุดขึ้นมามากมาย แล้วเราก็นำสิ่งนั้นไปทำเป็นบทความโพสลงบล็อกหรือเว็บเพจของเรา มีแต่เรื่องที่น่าสนใจและตื่นเต้นทั้งนั้น แต่เมื่อผ่านไปสักระยะ พอเห็นว่าไม่มีคนตามอ่านเลยก็จะเริ่มท้อแล้วก็ไม่ทำต่อ ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาครับ แต่อยากจะขอให้รู้ว่าผลลัพธ์ที่เราจะได้นำจะยังมาไม่ถึงถ้าเรายังมีกำลังไม่พอ การโพสบทความเองก็เช่นกัน ถ้าแค่ 20 หรือ 30 บทความก็อาจจะยังไม่มีกำลังมากเท่าไหร่ แต่เมื่อใดที่บทความของเรานั้นมีตั้งแต่ 500 บทความหรือ 1,000 บทความขึ้นไป เว็บของเราก็จะเริ่มมีกำลังขึ้นมาแล้ว และถ้าหากเว็บเรามีถึงระดับ 50,000 บทความขึ้น เว็บเราจะเป็นเว็บขนาดใหญ่ที่ไม่ว่ายังไงก็ต้องมีคนเข้ามาอ่านอย่างแน่นอน ในตอนนี้เราก็จะมีกำลังมากพอที่จะรองรับผู้อ่านจำนวนมากแล้ว ในตอนนี้เองที่ความสำเร็จก็จะเริ่มเกิดขึ้น อาจจะต้องใช้เวลาหลายปีกว่าที่จะทำแบบนั้นได้ ซึ่งก็ต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างมาก ในระหว่างนั้นก็ให้เราคอยหาความรู้เพิ่มเติม พัฒนาและปรับปรุงคุณภาพของเราเว็บและบทความของเราอยู่เสมอ เพื่อจะได้ไม่ซ้ำซากจำเจมากนัก ธุรกิจอื่น ๆ กว่าที่จะประสบความสำเร็จ พวกเขาก็ต้องใช้ความอดทนแบบนี้เช่นเดียวกัน

ที่่มา เพจ Readism