ผู้เขียน หัวข้อ: 1 เปอร์เซ็นต์ของความเป็นไปได้  (อ่าน 4772 ครั้ง)

ออฟไลน์ เลิศชาย ปานมุข

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3923
เมื่อ: สิงหาคม 21, 2016, 12:26:05 AM
เช้าตรู่วันหนึ่งในต้นเดือนกุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 1917 กลางความหนาวเหน็บของปลายฤดูหนาวที่แคนซัส สหรัฐอเมริกา ลมหนาวพัดมาจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือแผ่ทั่วแคนซัสตะวันตก เด็กสี่คนสกุลคันนิงแฮมไปโรงเรียนแต่เช้าตรู่ คนพี่ชื่อ ฟลอยด์ อายุสิบสาม ลีธาอายุเกือบสิบสอง เรย์มอนด์สิบขวบ และคนน้องชื่อ เกลน อายุเจ็ดขวบครึ่ง ตามหลักปฏิบัติ ใครที่ไปถึงโรงเรียนก่อนมีหน้าที่จุดไฟเตาผิงเพื่อให้ห้องเรียนอุ่นก่อนครูและเด็กๆ มาถึง

พี่น้องทั้งสี่เกิดที่แอตแลนตาในครอบครัวชาวไร่ เกลนชอบชีวิตกลางแจ้ง ชอบวิ่งเป็นชีวิตจิตใจ ขณะที่เด็กชายทั้งสามเข้าไปในห้อง ลีธานั่งชิงช้าอยู่ข้างนอก

โรงเรียนใช้เตาผิงถ่านหินแบบเก่า การจุดเตาต้องราดด้วยน้ำมันก๊าด แต่ก่อนเช้าวันนั้นใครบางคนเข้าใจผิด เติมน้ำมันแกสโซลีนเข้าไปในถังขนาดห้าแกลลอนบรรจุน้ำมันก๊าด แกสโซลีนนั้นใช้สำหรับจุดตะเกียงสำหรับใช้ในการประชุมตอนค่ำ และคนที่จะถือส่องทาง

ฟลอยด์ราดแกสโซลีนบนถ่านที่ยังคุอยู่ พลันเกิดเสียงระเบิด ไฟลุกพรวดท่วมบริเวณนั้น เด็กทั้งสองถูกไฟแผดเผาเสื้อผ้าชุดหนาวที่หนาติดไฟ ฟลอยด์ถูกไฟท่วมหน้าอกและหน้าท้อง เกลนซึ่งยืนอยู่ข้างหลังถูกไฟเผาร่างกายท่อนล่าง ส่วนเรย์มอนด์ไม่ถูกไฟ เขาวิ่งไปเปิดประตู แต่มันเปิดออกไม่ได้ ลีธาที่อยู่ข้างนอกเห็นเหตุการณ์รีบไปเปิดให้

เด็กชายที่เสื้อผ้าติดไฟทั้งสองวิ่งถลันออกมา ฟลอยด์ตะโกนบอกน้องให้เอาทรายมาดับไฟ น้องทั้งสองก็รีบตักทรายใส่ร่างเด็กชายทั้งสอง ไฟดับในที่สุดแต่ทรายก็ปนเข้าไปในบาดแผลไฟไหม้ ขณะที่อาคารเรียนไหม้ไฟ เด็กทั้งสี่ก็รีบวิ่งกลับบ้าน

หมอที่อยู่ไกลออกไปยี่สิบห้าไมล์มาดูอาการเด็กชายทั้งสองที่บ้าน ฉีกผ้าปูเตียงเป็นผ้าพันแผล ชุบด้วยน้ำมันลินซีดและไข่

ฟลอยด์อาการสาหัส อยู่ในอาการช็อก ไฟเผาหน้าท้องถึงไตทั้งสอง ส่วนอาการของเกลนก็สาหัสเช่นกัน ไฟเผาขาทั้งสอง พวกเขาไม่แน่ใจว่าเด็กทั้งสองจะรอดหรือไม่

เกลนนอนซมบนเตียง ขยับตัวอย่างลำบาก ขาทั้งสองไร้ความรู้สึก มันเป็นความทรมานทางกายอย่างยิ่ง การเปลี่ยนผ้าพันแผลเป็นความทรมานที่สุด เพราะผ้าติดแนบกับหนัง ทุกครั้งที่หมอถอดผ้าพันแผลออก ก็มีเนื้อหลุดออกมา น้ำเหลืองนองเตียง

การเปลี่ยนผ้าพันแผลเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทุกครั้งเกลนจับเตียงแน่นด้วยความเจ็บปวด และลีธาช่วยจับตัวเขาไม่ให้ดิ้นเมื่อหมอเปลี่ยนผ้าพันแผล เขาได้ยินเสียงฟลอยด์เอ่ยมาบอกให้เขาอดทน เมื่อรักษาตัวหายแล้วจะไปเล่นด้วยกัน

ฟลอยด์อดทนถึงวันที่เก้า ก็สิ้นใจ

เกลนสูญเสียกล้ามเนื้อที่หัวเข่าและที่นิ้วเท้าขาซ้ายทั้งหมด เท้าส่วนที่เรียกว่า Transversal arch บนขาข้างหนึ่งขาด เขาได้ยินว่าสภาพบาดเจ็บของเขาเสี่ยงต่อการติดเชื้อ หากติดเชื้อไม่เพียงเขาต้องเสียขา แต่จะเสียชีวิตด้วย

เขาไม่ถูกตัดขา แต่มันอยู่ในสภาพบาดเจ็บอย่างหนัก ใช้การไม่ได้ หมอบอกว่าเขาจะกลายเป็นคนพิการไปตลอดชีวิต จะไม่มีวันเดินได้อีก มิพักเอ่ยถึงการวิ่งที่เขาชอบ

เด็กชายคิดในใจ อาจจะจริงของหมอ เขาจะไม่มีวันเดินและวิ่งได้อีก ความฝันทั้งปวงของเขาสูญสลายไปตั้งแต่เขายังอายุยังน้อย

อาการของเขาดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ขาทั้งสองยังไม่มีความรู้สึก

ผ่านไปหกเดือน บาดแผลหายแล้ว ขาทั้งสองมีรอยแผลเป็นถึงกระดูก รอยแผลเป็นขาข้างหนึ่งสูงถึงสะโพก เขาพยายามยืน แต่ไม่สำเร็จ ขาของเขายังไม่มีความรู้สึก

ภาพความสนุกของการวิ่งเล่นกลางทุ่ง และชีวิตกลางแจ้งที่เขารักผุดขึ้นมา เขาตัดสินใจว่าเขาจะไม่ยอมกลายเป็นคนพิการไปจนตลอดชีวิต เขาเชื่อว่าหากเขานวดขาของเขาไม่หยุด มันอาจจะดีขึ้นก็ได้

แล้วเขาก็นวดขาของเขาทุกวัน เบื้องแรกมันไม่มีความรู้สึก แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็รู้สึกว่าขาของเขาเริ่มตอบสนองต่อสัมผัส ขาของเขายังไม่ตาย!

ในที่สุดเขาก็สามารถยืนได้อย่างลำบากยากเย็น ขาทั้งสองรองรับนำหนักตัวได้ ในระดับหนึ่ง เขาไม่ละความพยายาม เขาตั้งใจว่าต้องเดินให้ได้

เขาค่อยๆ เดินโดยใช้เก้าอี้ช่วย การเดินยังเอียงไปเอียงมา แต่เขายังเดินต่อไป เขาพูดกับตัวเองว่าเขาต้องไม่เป็นคนพิการ ทุกวันเขานวดขาทั้งสอง โดยเฉพาะขาข้างซ้ายที่อ่อนแอกว่า

ผ่านไปปีเศษ เขาได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอก

วันหนึ่งเมื่ออากาศดี แม่เข็นเขาออกไปรับอากาศบริสุทธิ์นอกบ้าน เขาลงจากรถเข็นลงบนพื้น มุ่งมั่นจะเดิน แต่ทำได้เพียงลากตัวเองไปบนพื้นหญ้า ขาของเขาไม่ยอมเดิน

เด็กน้อยลากตัวเองไปถึงรั้วสีขาว เขาใช้มือจับรั้ว พยายามยกตัวเองขึ้นยืนอย่างยากเย็น แล้วก้าวออกไปอย่างยากลำบาก เขาทำเช่นนี้ทุกวัน จนรอบรั้วปรากฏทางเดินที่เขาสร้างขึ้น

แล้ววันหนึ่ง กลางทุ่งชนบทแห่งแคนซัส เด็กชายผู้ไม่ยอมแพ้ก็เดินได้สำเร็จ

เรื่องร้ายเกิดขึ้นกับแทบทุกคน บางคนประสบเรื่องร้ายแรงกว่าคนอื่น บางเรื่องทำให้พวกเขาล้มลงไปตลอดชีวิต

ทว่าโลกมีตัวอย่างบุคคลที่ฝ่าฝืนคำสั่งของชะตาชีวิตเสมอ พวกเขาเชื่อว่าหากมีความมุ่งมั่นพอ ฝึกฝนนานพอ เรื่องร้ายแรงที่สุดก็อาจลดความร้ายลงไปได้

คนเหล่านี้ล้วนทำเรื่องที่คนส่วนใหญ่มองว่าเป็นไปไม่ได้

และเพราะคนส่วนใหญ่มองว่าเป็นไปไม่ได้ โลกเราจึงเต็มไปด้วยคนที่ร่างกายครบสามสิบสองผู้ชอบเอ่ย ?เป็นไปไม่ได้? ก่อนที่จะลองทำ

เด็กชายผู้ขาทั้งสองมีโอกาสพิการไปตลอดชีวิตสูงถึง 99 เปอร์เซ็นต์ เขาปฏิเสธที่จะเชื่อเช่นนั้น แล้วเปลี่ยน 1 เปอร์เซ็นต์ของความเป็นไปได้เป็น 100 เปอร์เซ็นต์เต็ม

เมื่อใจมุ่งมั่นแน่วแน่ 1 เปอร์เซ็นต์ของความเป็นไปได้ก็ไปไกลกว่าสองเท้าที่ก้าวเดินของเขา

พลังใจขนาดนี้มาจากไหน?

คนใกล้ชิดของเกลนบอกว่า เขารักการวิ่งเล่นกลางแจ้งมากจนเขาใช้มันเป็นความฝันของเขาที่เขาจะมุ่งมั่นไปให้ถึง

มันเป็นไฟของเขา ไฟของความฝัน ไฟของชีวิต

หากเด็กน้อยสามารถเปลี่ยนชะตาชีวิตของเขาได้ขนาดนี้ เราทุกคนก็น่าจะทำเรื่องที่ยากน้อยกว่านี้ได้

ยากน้อยกว่านี้?

ใช่ ยากน้อยกว่านี้หลายเท่า!

สามปีต่อมา ครอบครัวย้ายไปที่เมืองเอลคาร์ท (Elkhart) และเกลนอายุสิบเอ็ดกลับไปโรงเรียนอีกครั้ง บ้านของเขาอยู่ห่างจากโรงเรียนหนึ่งไมล์ เขากลับไปกินข้าวเที่ยงที่บ้าน จึงเดินไปกลับสี่รอบ สี่ไมล์ต่อวัน

วันหนึ่งเขาจับหางลาและเริ่มวิ่งตามลา ขาทั้งสองเหมือนมีเข็มแทง แต่มันก็ดีขึ้นเรื่อยๆ

แล้วเขาก็เริ่มวิ่ง เขาวิ่งไปทั่วท้องทุ่ง ทั่วเมือง วิ่งไปยังทุกหนทุกแห่ง เพราะสองขาที่ได้คืนมาเป็นของขวัญพิเศษ ภาพเด็กชายผู้รอดชีวิตจากเพลิงไหม้โดยขาทั้งสองเกือบถูกตัดวิ่งไปทั่วเมืองทำให้ชาวบ้านมองเขาด้วยความไม่เชื่อตา

แล้วเขาก็ไปวิ่งแข่ง...

เมื่อเขาคว้าชัยชนะการวิ่งแข่งครั้งแรกนั้น ฝูงชนลุกขึ้นปรบมือให้แก่กำลังใจของเด็กหนุ่มผู้หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ยอมแพ้

หัวใจที่สู้ไม่ถอยทำเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่สุดเรื่องหนึ่งในโลกให้เป็นไปได้อย่างมหัศจรรย์

แล้วเขาก็ไปยังสนามวิ่งแข่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก - โอลิมปิก

เมื่อเขาคว้าชัยชนะจากสนามโอลิมปิก โลกก็ได้รับบทเรียนบทหนึ่งว่า 1 เปอร์เซ็นต์ของความเป็นไปได้ไปได้ไกลเพียงไร

หมายเหตุ : เกลน คันนิงแฮม เข้าร่วมแข่งวิ่งโอลิมปิกในปี 1932 (เข้าเส้นชัยลำดับที่ 4) และปี 1936 (เข้าเส้นชัยลำดับที่ 2) และการวิ่งแข่งขันอื่นๆ อีกมากมาย เขาสร้างสถิติโลกหลายครั้ง

เขาได้รับฉายา Kansas Flyer (วิหคแคนซัส), The Elkhart Express (มนุษย์สายฟ้าเอลคาร์ท) และ Iron Horse of Kansas (ม้าเหล็กแห่งแคนซัส)

โค้ชของเขากล่าวว่า ชายหนุ่มคนนี้มีพลังใจและความมุ่งมั่นระดับสูงสุด เพราะหัวใจของเกลนตอกย้ำกับตัวเองเสมอว่า ไม่มีใครในโลกที่เขาวิ่งชนะไม่ได้

เกลน คันนิงแฮม เสียชีวิตในปี 1988 อายุ 79 ปี



ที่มา : วินทร์ เลียววาริณ

www.winbookclub.com

2 กรกฎาคม 2559

คมคำคนคม

Nothing is impossible, the word itself says ?I?m possible?!

ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ (impossible) คำก็บอกในตัวมันเองแล้วว่า ?I?m possible? (ฉันเป็นไปได้)

Audrey Hepburn