ผู้เขียน หัวข้อ: ประวัติเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย  (อ่าน 4001 ครั้ง)

ออนไลน์ เลิศชาย ปานมุข

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3923
เมื่อ: กรกฎาคม 20, 2015, 08:47:00 AM
ประวัติเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย
                เครื่องราชอิสริยาภรณ์หรือที่เรียกกันเป็นภาษาสามัญว่า ตรา คือสิ่งที่เป็นเครื่องหมายแสดงเกียรติยศและบำเหน็จความชอบ เป็นของพระมหากษัตริย์ทรงสร้างขึ้นสำหรับพระราชทานเป็นบำเหน็จความชอบในราชการ ประเทศชาติ ศาสนา ประชาชน หรือส่วนพระองค์ นอกจากนั้นยังหมายความรวมถึงเหรียญที่ระลึกที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างในโอกาสสำคัญต่าง ๆ เพื่อให้บุคคลทั่วไปใช้ประดับได้อย่างเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ในปัจจุบัน เป็นเครื่องหมายประดับเสื้อซึ่งนิยมกันทั่วไป แม้ประเทศซึ่งไม่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขก็นิยมใช้ โดยถือว่าเป็นสิ่งส่งเสริมเกียรติของบุคคลผู้มีผลงานดีเด่นต่อส่วนรวม ให้เป็นแบบอย่างที่ควรยึดถือ มิใช้เป็นเครื่องหมายแบ่งแยกชนชั้นแต่อย่างใด

กำเนิดเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย
                ชนชาติไทยมีเครื่องหมายแสดงเกียรติยศและบำเหน็จความชอบมาเป็นเวลานาน โดยมีรูปเป็นแบบเครื่องใช้ส่วนตัวหรือเครื่องประดับตัว ไม่ได้ใช้ประดับกับเสื้อตามรูปแบบที่ปรากฏเป็นสากลในปัจจุบัน จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์พบว่า ในสมัยกรุงศรีอยุธยามีการใช้เครื่องหมายเพื่อแสดงเกียรติยศ และบำเหน็จความชอบอันได้แก่ เครื่องราชูปโภคของพระมหากษัตริย์ และ ?เครื่องยศ? ซึ่งเป็นเครื่องใช้ที่พระราชทานแก่เจ้านายและขุนนาง มีพานหมาก คนโท กาน้ำ เป็นต้น เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทยที่ใช้ประดับเสื้อ เกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อทรงมีพระราชดำริให้สร้างดาราติดเสื้อ โดยนำลายตราตำแหน่งมาทำลายดาราเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ด้วยเหตุนี้ จึงมีผู้เรียกดาราเหล่านั้นว่า ?ตรา? ภายหลังจากที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างดาราไอยราพตเครื่องต้นในปี พ.ศ.2400 แล้ว ต่อมาได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างดาราตราคชสีห์ดารานพรัตน ดาราช้างเผือก ดารามหามงกุฎ เหรียญเฉลิมพระชันษาครบ 60 ปีบ ริบูรณ์ ดาราตราราชสีห์ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทยมีวิวัฒนาการมาตามลำดับ อย่างต่อเนื่อง อาทิ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาให้เรียกเครื่องประดับสำหรับยศว่า เครื่องราชอิสริยาภรณ์เป็นครั้งแรกและทรงพระกรุณาให้มีสายสะพายประกอบ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ตลอดจนให้มีประกาศนียบัตรกำกับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ยกเว้นบางชั้นตราและบางชนิดที่ไม่มีประกาศนียบัตรกำกับเครื่องราช อิสริยาภรณ์แต่ก็จะต้องลงประกาศนามผู้ได้รับพระราชทานในราชกิจจานุเบกษา นอกจากนั้น พระมหากษัตริย์ในรัชกาลต่อมาได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเครื่องราชอิสริยาภรณ์เพิ่มเติม ซึ่งส่วนใหญ่ยังคงใช้สำหรับ พระราชทานเป็นเครื่องหมายแสดงเกียรติยศและบำเหน็จความชอบสืบมาถึงปัจจุบัน

ประเภทเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย

เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทยแบ่งออกเป็น 4 ประเภทดังนี้

ประเภทที่ 1 เครื่องราชอิสริยาภรณ์สำหรับพระราชทานแก่ประมุขของรัฐ มีชนิดเดียวคือ เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นมงคลยิ่งราชมิตราภรณ์ (ร.ม.ภ.)
                1. ดวงตรามีรูปจักรและตรีศูลขัดกัน ประดับเพชรพร้อมสายสร้อยสวมคอ
                2. ดวงตราลักษณะเช่นเดียวกับที่ใช้ห้อยสายสร้อยคอแต่ขนาดย่อมกว่า สำหรับห้อยกับสายแพรแถบสีเหลืองมีริ้วสีขาวประกอบด้วยเส้นสีน้ำเงิน อยู่ใกล้ขอบทั้งสองข้าง
                3. ดารารูปนารายณ์ทรงครุฑ สำหรับประดับอกเสื้อเบื้องซ้ายสายสะพาย สะพายบ่าขวาเฉียงลงทางซ้าย

                พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2505 เพื่อพระราชทานประมุขของประเทศต่าง ๆ ซึ่งมีสัมพันธไมตรีกับประเทศไทยเป็นการเฉพาะแทนเครื่องราชอิสริยาภรณ์สกุลอื่น ๆ ซึ่งเคยพระราชทานมาแล้วในอดีต

ประเภทที่ 2 เครื่องราชอิสริยาภรณ์สำหรับบำเหน็จความชอบในราชการแผ่นดิน มี 8 ชนิด คือ

                2.1 เครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ (ม.จ.ก.)
                พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาให้สร้างเมื่อ พ.ศ. 2425 เพื่อระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมกษัตริย์ของราชวงศ์จักรีที่ได้สถาปนากรุงเทพมหานครเป็นราชธานีมาเป็นเวลาครบ 100 ปี สำหรับพระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์ ซึ่งสืบเนื่องโดยตรงในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และผู้ซึ่งพระบรมวงศานุวงศ์ดังกล่าวได้เสกสมรสด้วย
                ตราจักรีมีชั้นเดียวประกอบด้วย
                1. ตรามหาจักรี พร้อมสายสร้อยสวมคอ
                2. ตราจุลจักรี สำหรับห้อยกับสายสะพายสีเหลือง
                3. ดาราจักรี สำหรับประดับอกเสื้อเบื้องซ้าย

                2.2 เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลนพรัตนราชวราภรณ์ (น.ร.)
                พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชกรุณาให้สร้างดารานพรัตนขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2394 ต่อมาในรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงสร้างดวงตรามหานพรัตน สำหรับห้อยสายสะพาย และแหวนนวรัตน สำหรับพระราชทานพระราชวงศ์ฝ่ายหน้าและฝ่ายในตลอดจนข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ซึ่งเป็นพุทธมามกะ เครื่องราชอิสริยาภรณ์นี้มีชั้นเดียว ประกอบด้วย
                1. ดวงตรามหานพรัตน สำหรับห้อยกับสายสะพายสีเหลืองขอบเขียว มีริ้วสีแดง และน้ำเงินคั่นระหว่างสีเหลืองและขอบเขียว
                2. ดารานพรัตน สำหรับประดับอกเสื้อเบื้องซ้าย
                3. แหวนนวรัตน ทำด้วยทองคำเนื้อสูงฝังพลอย 9 อย่าง สำหรับสวมนิ้วชี้มือขวา แหวนนี้มีเฉพาะฝ่ายหน้า (บุรุษ)
                สายสะพายนพรัตน สะพายบ่าขวาเฉียงลงมาทางซ้าย

                2.3 เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า
                พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2416 เนื่องในโอกาสที่พระมหากษัตริย์ราชวงศ์จักรีได้ปกครองประเทศไทยติดต่อกันมาถึง 90 ปี ด้วยความสงบสุข พระองค์จึงทรงพระกรุณาให้สร้างเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้านี้ขึ้น ซึ่งเป็นพระนามของพระองค์ และใช้แพรแถบสีชมพูอันเป็นสีของวันพระราชสมภพ คือวันอังคาร
               
                เครื่องราชอิสริยาภรณ์สำหรับพระราชทานให้ฝ่ายหน้า (บุรุษ) แบ่งออกเป็น 3 ชั้น ดังนี้
               
                ชั้นที่ 1 มี 2 ชนิด คือ
                ก. ปฐมจุลจอมเกล้าวิเศษ (ป.จ.ว.) ประกอบด้วย
                                1. ดวงตราจุลจอมเกล้าพร้อมสายสร้อยสวมคอ หรือ ห้อยกับสายสะพายสีชมพู
                                2. ดาราจุลจอมเกล้า สำหรับประดับอกเสื้อเบื้องซ้าย
                                3. ดวงตราตติยานุจุลจอมเกล้า สำหรับประดับอกเสื้อเบื้องซ้าย เพื่อแสดงถึงการสืบตระกูลของทายาทต่อ
ไปอย่างไม่สิ้นสุดจนไม่มีทายาทเป็นชายที่จะสืบตระกูล

                ข. ปฐมจุลจอมเกล้า (ป.จ.) เครื่องประกอบเหมือนปฐมจุลจอมเกล้าวิเศษ เว้นแต่ไม่มีตราตติยานุจุลจอมเกล้า
                สายสะพายจุลจอมเกล้า สะพายบ่าซ้ายเฉียงลงทางขวา

                ชั้นที่ 2 มี 2 ชนิด คือ
                ก. ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ (ท.จ.ว.) ประกอบด้วย
                                1. ดวงตราทุติยจุลจอมเกล้า ห้อยแพรแถบสีชมพู สำหรับสวมคอ
                                2. ดาราทุติยจุลจอมเกล้า สำหรับติดอกเสื้อเบื้องซ้าย
                ข. ทุติยจุลจอมเกล้า ประกอบด้วย
                                ดวงตราทุติยจุลจอมเกล้าห้อยแพรแถบสีชมพู สำหรับสวมคอ

                ชั้นที่ 3 มี 3 ชนิด คือ
                ก. ตติยจุลจอมเกล้าวิเศษ (ต.จ.ว.) ดวงตราห้อยแพรแถบสีชมพูมีดอกไม้จีบติดบนแพรแถบ สำหรับติดอกเสื้อเบื้องซ้าย
                ข. ตติยจุลจอมเกล้า (ต.จ.) ดวงตราจุลจอมเกล้าห้อยแพรแถบสีชมพู สำหรับพระราชทานให้ผู้สืบตระกูล
                ค. ตติยานุจุลจอมเกล้า (ต.อ.จ.) ดวงตราเป็นเงินห้อยแพรแถบสีชมพู สำหรับพระราชทานให้หลานผู้สืบตระกูล

                เครื่องราชอิสริยาภรณ์สำหรับพระราชทานให้ฝ่ายใน (สตรี) แบ่งออกเป็น 4 ชั้น ดังนี้

                ชั้นที่ 1
                ปฐมจุลจอมเกล้า (ป.จ.) ประกอบ ด้วย
                                1. ดวงตราจุลจอมเกล้า สำหรับห้อยสายสะพายสีชมพู
                                2. ดาราจุลจอมเกล้า สำหรับประดับอกเสื้อเบื้องซ้าย
                                   สายสะพายจุลจอมเกล้าสะพายจากบ่าซ้ายเฉียงลงทางขวา

                ชั้นที่ 2 มี 2 ชนิด คือ
                ก. ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ (ท.จ.ว.)
                                ดวงตราชั้นนี้ประดับได้ 2 วิธี คือ จะใช้ห้อยกับสายสะพายสีชมพู สะพายบ่าซ้ายเฉียงลงทางขวา หรือจะห้อยกับแพรแถบสีชมพู ผูกเป็นรูปแมลงปอ ประดับเสื้อที่หน้าบ่าซ้ายก็ได้
                ข. ทุติยจุลจอมเกล้า (ท.จ.)
                                ดวงตรานี้ มีลักษณะเหมือนทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ แต่ใช้ประดับได้วิธีเดียว คือ ห้อยกับแพรแถบสีชมพู ผูกเป็นรูปแมลงปอประดับเสื้อที่หน้าบ่าซ้าย ไม่มีสายสะพาย

                ชั้นที่ 3
                ตติยจุลจอมเกล้า (ต.จ.) ดวงตราเหมือนกับทุติยจุลจอมเกล้า แต่ขนาดเล็กกว่า ห้อยแพรแถบสีชมพูผูกเป็นรูปแมลงปอ ประดับเสื้อที่หน้าบ่าซ้าย

                ชั้นที่ 4
                จตุตถจุลจอมเกล้า (จ.จ.) ดวงตราเหมือนตราตติยานุจุลจอมเกล้าของบุรุษ ต่างที่จตุตถจุลจอมเกล้ากะไหล่ทองห้อยแพรแถบสีชมพู ผูกเป็นรูปแมลงปอประดับเสื้อที่หน้าบ่าซ้าย
                อนึ่งเมื่อแรกสร้างตราจุลจอมเกล้านั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานเครื่องยศแบบโบราณประกอบ ดังนี้

                ตติยจุลจอมเกล้าวิเศษ โต๊ะทอง กาน้ำทองคำ
                                ทุติยจุลจอมเกล้า หรือทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ พานทองคำพร้อมเชี่ยนหมาก กาน้ำทองคำ พร้อมพานรอง กระโถนทองคำและคนโททองคำเกลี้ยงพร้อมพานรอง ด้วยเหตุที่ผู้รับพระราชทานตราชั้นนี้โดยมากมีบรรดาศักดิ์เป็น ?พระยา? จึงมีผู้เรียกพระยาผู้ได้รับพระราชทานเครื่องยศชั้นนี้ ว่า ?พระยาพานทอง?
                                ปฐมจุลจอมเกล้า เพิ่มหีบบุหรี่ทองคำพร้อมพานรองจากรายการของทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ

                การพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้าในรัชกาลปัจจุบันนี้ พระราชทานในวันพระราชพิธีฉัตรมงคล การพระราชทานเป็นไปตามพระราชอัธยาศัย ไม่เกี่ยวกับตำแหน่ง หรือเงินเดือน

คำนำนามของสตรีผู้ได้รับพระราชทาน ตราจุลจอมเกล้า

                สตรีผู้ซึ่งทำการสมรสแล้ว และมิได้เป็นเชื้อราชตระกูล (หม่อมราชวงศ์ หม่อมหลวง) เมื่อได้รับพระราชทานตรา ตั้งแต่ชั้น 4 คือ จตุตถจุลจอมเกล้า เป็นต้นไปจนถึงชั้นที่ 2 คือ ทุติยจุลจอมเกล้า มีสิทธิตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยคำนำสตรีที่จะได้คำนำนามว่า ?คุณหญิง?

                ส่วนผู้ที่ได้รับพระราชทานตราตั้งแต่ชั้น ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษขึ้นไป ใช้คำนำนามว่า ?ท่านผู้หญิง?

                สำหรับสตรีซึ่งยังมิได้ทำการสมรส ไม่ว่าจะได้รับพระราชทานตราชั้นใด ใช้คำนำนามว่า ?คุณ?

                สตรีซึ่งเป็นเชื้อราชตระกูลชั้นหม่อมราชวงศ์ หม่อมหลวง ซึ่งทำการสมรสแล้ว และได้รับพระราชทานตราจุลจอมเกล้า (สำหรับหม่อมเจ้าใช้คำนำพระนามตามเดิมไม่ว่าจะได้รับพระราชทานตราชั้นใด) สำหรับหม่อมราชวงศ์ และหม่อมหลวง เมื่อได้รับพระราชทานตราชั้นที่ 4 และ ชั้นที่ 3 ไม่ต้องเรียกว่า ?คุณหญิง? เว้นแต่ได้รับพระราชทานตราชั้นที่ 2 คือ ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ ใช้คำนำนามว่า ?ท่านผู้หญิง? ได้

                สำหรับหม่อมห้าม (ภริยาสมเด็จเจ้าฟ้า พระองค์เจ้า หม่อมเจ้า) ถ้าเป็นสามัญชนถึงแม้จะได้รับพระราชทานตราชั้นใด ก็คงใช้คำนำหน้าว่า ?หม่อม? แล้วตามด้วยชื่อและนามสกุล พร้อมทั้งต่อท้าย ด้วย ?ณ อยุธยา?

                2.4 เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี
                พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2461 สำหรับพระราชทานให้แก่ผู้ซึ่งทำความชอบพิเศษเป็นประโยชน์ยิ่งแก่ราชการทหาร ไม่ว่ายามสงบหรือยามสงคราม ตามที่ทรงพระราชดำริเห็นสมควร แบ่งเป็น 6 ชั้น

                ชั้นที่ 1 เสนางคบดี (ส.ร.) ประกอบด้วย
                1. ดวงตราสำหรับห้อยสายสะพายสีดำ ริมมีริ้วแดง
                2. ดาราสำหรับประดับอกเสื้อเบื้องซ้าย

                ชั้นที่ 2 มหาโยธิน (ม.ร.) ประกอบด้วย
                1. ดวงตรา สำหรับห้อยแพรแถบสวมคอ
                2. ดารา สำหรับประดับอกเสื้อเบื้องขวา

                ชั้นที่ 3 โยธิน (ย.ร.) ดวงตราสำหรับห้อยแพรแถบสวมคอ

                ชั้นที่ 4 อัศวิน (อ.ร.) ดวงตราสำหรับห้อยแพรแถบติดอกเสื้อเบื้อซ้าย

                ชั้นที่ 5 เหรียญรามมาลา เข็มกล้ากลางสมร (ร.ม.ก.) ประดับเช่นเดียวกับชั้นที่ 4

                ชั้นที่ 6 เหรียญรามมาลา (ร.ม.) ประดับเช่นเดียวกับชั้นที่ 4

                สายสะพายรามาธิบดี สะพายบ่าขวาเฉียงลงมาทางซ้าย

                พระราชพิธีพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์นี้ จะประกอบด้วยพระราชพิธีถือน้ำพระพัฒน์สัตยา (ดื่มน้ำสาบาน) โดยผู้ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ใหม่ และผู้ที่ได้รับพระราชทานมาก่อน จะร่วมในพระราชพิธีเฉพาะพระพักตร์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

                2.5 เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก
                พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2404 แต่มิได้กำหนดให้มีสายสะพาย ต่อมา พ.ศ. 2412 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงกำหนดชั้นและสายสะพายประกอบ เครื่องราชอิสริยาภรณ์นี้ มี 8 ชั้น

                ชั้นสูงสุด มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.) ประกอบด้วย
                1. ดวงตราช้างเผือก สำหรับห้อยสายสะพายสีแดง ริมเขียวมีริ้งเหลือง ริ้วน้ำเงินขนาดเล็กคั่น
                2. ดวงดาราช้างเผือก สำหรับติดอกเสื้อเบื้องซ้าย
                   สายสะพายชั้นนี้ สะพายบ่าซ้ายเฉียงลงทางขวา

                ชั้นที่ 1 ประถมาภรณ์ช้างเผือก (ป.ช.) ประกอบด้วย
                1. ดวงตราช้างเผือก สำหรับห้อยสายสะพายสีแดง ริมเขียวใหญ่ ริ้วเหลือง ริ้วน้ำเงิน ขนาดเล็กคั่น
                2. ดาราช้างเผือก สำหรับติดอกเสื้อเบื้องซ้าย
                    สายสะพายชั้นนี้ สะพายบ่าขวาเฉียงลงทางซ้าย

                ชั้นที่ 2 ทวีติยาภรณ์ช้างเผือก (ท.ช.) ประกอบด้วย
                1. ดวงตราช้างเผือก สำหรับบุรุษห้อยแพรแถบสวมคอ สำหรับสตรีห้อยแพรแถบผูกเป็นรูปแมลงปอ ประดับเสื้อหน้าบ่าซ้าย
                2. ดาราช้างเผือก สำหรับติดอกเสื้อเบื้องซ้าย

                ชั้นที่ 3 ตริตาภรณ์ช้างเผือก (ต.ช.)
                สำหรับบุรุษห้อยแพรแถบสวมคอ สำหรับสตรีห้อยแพรแถบผูกเป็นรูปแมลงปอ ประดับเสื้อหน้าบ่าซ้าย

                ชั้นที่ 4 จัตุรถาภรณ์ช้างเผือก (จ.ช.)
                สำหรับบุรุษห้อยแพรแถบประดับอกเสื้อเบื้องซ้าย สำหรับสตรีห้อยแพรแถบผูกเป็นรูปแมลงปอ ประดับเสื้อหน้าบ่าซ้าย ดวงตราชั้นที่ 4 เล็กกว่าดวงตราชั้นที่ 3 และมีดอกไม้จีบติดบนแพรแถบ

                ชั้นที่ 5 เบญจมาภรณ์ช้างเผือก (บ.ช.)
                ดวงตราชั้นที่ 5 เหมือนดวงตรา ชั้นที่ 4 แต่ไม่มีดอกไม้จีบบนแพรถบ วิธีประดับเหมือนชั้นที่ 4

                ชั้นที่ 6 เหรียญทอง (ร.ท.ช.) วิธีประดับเหมือนชั้นที่ 4

                ชั้นที่ 7 เหรียญเงิน (ร.ง.ช.) วิธีประดับเหมือนชั้นที่ 4

                2.6 เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย
                พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาให้สร้างขึ้น เมื่อ พ.ศ. 2412 สำหรับพระราชทาน พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ ประชาชน ชาวต่างประเทศ ปัจจุบันมี 8 ชั้น

                ชั้นสูงสุด มหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.) ประกอบด้วย
                1. ดวงตรามงกุฎ ห้อยสายสะพายสีคราม มีริ้วสีแดง สีขาว อยู่ที่ริมทั้งสองข้าง
                2. ดารามงกุฎ สำหรับประดับอกเสื้อเบื้องซ้าย
                    สายสะพายชั้นนี้ สะพายบ่าซ้ายเฉียงลงทางขวา

                ชั้นที่ 1 ประถมาภรณ์มงกุฎไทย (ป.ม.) ประกอบด้วย
                1. ดวงตรามงกุฎ ห้อยสายสะพายสีน้ำเงิน ริมเขียว มีริ้วเหลือง ริ้วแดง คั่นทั้งสองช้าง
                2. ดารามงกุฎ สำหรับประดับอกเสื้อเบื้องซ้าย
                   สายสะพายชั้นนี้ สะพายบ่าขวาเฉียงทางลงซ้าย

                ชั้นที่ 2 ทวีติยาภรณ์มงกุฎไทย (ท.ม.) ประกอบด้วย
                1. ดวงตรามงกุฎ ห้อยแพรแถบสำหรับบุรุษสวมคอ สำหรับสตรีห้อยแพรแถบผูกเป็นรูปแมลงปอ ประดับเสื้อหน้าบ่าซ้าย
                2. ดารามงกุฎ สำหรับประดับอกเสื้อเบื้องซ้าย

                ชั้นที่ 3 ตริตาภรณ์มงกฏไทย (ต.ม.)
                สำหรับบุรุษห้อยแพรแถบสวมคอ สำหรับสตรีห้อยแพรแถบผูกเป็นรูปแมลงปอ ประดับเสื้อหน้าบ่าซ้าย

                ชั้นที่ 4 จัตุรถาภรณ์มงกุฎไทย (จ.ม.)
                สำหรับบุรุษห้อยแพรแถบประดับอกเสื้อเบื้องซ้าย สำหรับสตรีห้อยแพรแถบผูกเป็นรูปแมลงปอ ประดับเสื้อหน้าบ่าซ้าย ดวงตราชั้นที่ 4 เล็กกว่าดวงตราชั้นที่ 3 และมีดอกไม้จีบติดบนแพรแถบ

                ชั้นที่ 5 เบญจมาภรณ์มงกุฎไทย (บ.ม.)
                ดวงตราชั้นที่ 5 เหมือนดวงตรา ชั้นที่ 4 แต่ไม่มีดอกไม้จีบติดบนแพรแถบ วิธีประดับเหมือนชั้นที่ 4

                ชั้นที่ 6 เหรียญทอง (ร.ท.ม.) วิธีประดับเหมือนชั้นที่ 4

                ชั้นที่ 7 เหรียญเงิน (ร.ง.ม.) วิธีประดับเหมือนชั้นที่ 4
                เครื่องราชอิสริยาภรณ์มงกุฎไทย มีศักดิ์รองจากเครื่องราชอิสริยาภรณ์ช้างเผือกในชั้นที่เท่ากัน เช่นชั้นที่ 3 ต้องประดับตราช้างเผือกก่อนแล้วจึงต่อด้วยตรามงกุฎไทย

                2.7 เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์
                พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาให้สร้างเมื่อ พ.ศ. 2534 สำหรับพระราชทานแก่ผู้กระทำความดีความชอบ อันเป็นประโยชน์ยิ่งแก่ประเทศชาติ ศาสนา และประชาชน ตามที่ทรงพระราชดำริเห็นสมควร แบ่งเป็น 7 ชั้น คือ

                ชั้นที่ 1 ปฐมดิเรกคุณาภรณ์ (ป.ภ.) ประกอบด้วย
                1. ดวงตราด้านหน้ามีรูปครุฑพ่าห์สีทอง ด้านหลังมีพระปรมาภิไธยย่อ ภ.ป.ร. ใช้คล้องสายสะพายสีเขียว ริมสีแดงชาด มีริ้วขาวและเหลือง ที่ริมทั้งสองข้าง
                2. ดวงดาราเช่นดวงตรา ใช้ประดับที่อกเสื้อเบื้องซ้าย
                    สายสะพาย สะพายบ่าขวาเฉียงลงทางซ้าย

                ชั้นที่ 2 ทุติยดิเรกคุณาภรณ์ (ท.ภ.) ประกอบด้วย
                1. ดวงตรา เช่นเดียวกับดวงตราชั้นที่ 1 ใช้ห้อยแพรแถบสวมคอ สตรีห้อยแพรแถบผูกเป็นรูปแมลงปอประดับเสื้อที่หน้าบ่าซ้าย
                2. ดาราอย่างดวงตรา แต่ขอบเป็นสร่งเงิน ใช้ประดับที่อกเสื้อเบื้องซ้าย

                ชั้นที่ 3 ตติยดิเรกคุณาภรณ์ (ต.ภ.)
                ดวงตราอย่างชั้นที่ 2 ใช้ห้อยแพรแถบสวมคอ สตรีห้อยกับแพรแถบผูกเป็นรูปแมลงปอ ประดับเสื้อที่หน้าบ่าซ้าย

                ชั้นที่ 4 จตุตถดิเรกคุณาภรณ์ (จ.ภ.)
                ดวงตราอย่างชั้นที่ 3 สำหรับบุรุษห้อยแพรแถบประดับที่อกเสื้อเบื้องซ้าย สำหรับสตรีห้อยแพรแถบผูกเป็นรูปแมลงปอ ประดับเสื้อหน้าบ่าซ้าย ดวงตราชั้นที่ 4 เล็กกว่าชั้นที่ 3 และมีดอกไม้จีบติดอยู่บนแพรแถบ

                ชั้นที่ 5 เบญจมดิเรกคุณาภรณ์ (บ.ภ.)
                ดวงตราอย่างชั้นที่ 3 ใช้ประดับเช่นชั้นที่ 4

                ชั้นที่ 6 เหรียญทองดิเรกคุณาภรณ์ (ร.ท.ภ.)
                เหรียญรูปกลมสีทอง มีรูปครุฑพ่าห์อยู่กลางใช้ประดับเช่นชั้นที่ 4

                ชั้นที่ 7 เหรียญเงินดิเรกคุณาภรณ์ (ร.ง.ภ.)
                เหรียญสีเงิน ใช้ประดับเช่นชั้นที่ 4

                เครื่องราชอิสริยาภรณ์นี้ มีลำดับเกียรติรองจากเครื่องราชอิสริยาภรณ์มงกุฎไทย ดังนั้น ในชั้นตราเดียวกันอาทิ ชั้นที่ 3 เมื่อประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์จะประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ฯ ดิเรกคุณาภรณ์ถัดจากเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ฯ มงกุฎไทย

                2.8 เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นสิริยิ่งรามกีรติลูกเสือสดุดีชั้นพิเศษ
                พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณา ให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2530 มีชั้นเดียวสำหรับพระราชทานผู้มีอุปการคุณแก่กิจการลูกเสือ ซึ่งได้รับพระราชทานเหรียญลูกเสือสดุดีชั้นที่ 1 มาแล้ว และให้การช่วยเหลือกิจการลูกเสือต่อเนื่องมา 5 ปี

                เครื่องราชอิสริยาภรณ์นี้มีลักษณะเป็นรูปกลมรี กลางดวงมีตราหน้าเสือประกอบวชิระเงิน ด้านหลังมีตราคณะลูกเสือโลกเบื้องบนมีพระมหามงกุฎใช้ห้อยกับแพรแถบคล้องคอ

ประเภทที่ 3 เครื่องราชอิสริยาภรณ์สำหรับพระราชทานเป็นบำเหน็จความชอบในพระองค์พระมหากษัตริย์
                 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาให้สร้างเครื่องราชอิสริยาภรณ์สำหรับพระราชทานเป็นบำเหน็จความชอบในพระองค์พระมหากษัตริย์ สำหรับพระราชทานข้าราชการที่มีความจงรักภักดี และทรงพระกรุณาใช้สอยใกล้ชิด ขณะนี้พ้นสมัยพระราชทานแล้ว แบ่งเป็น 3 ชนิด

                                3.1 เครื่องราชอิสริยาภรณ์ตราวชิรมาลา
                                3.2 เครื่องราชอิสริยาภรณ์ตรารัตนวราภรณ์
                                3.3 เครื่องราชอิสริยาภรณ์ตราวัลลภาภรณ์

ประเภทที่ 4 เหรียญราชอิสริยาภรณ์ที่นับเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ แบ่งเป็น 4 ประเภท ในการประดับเหรียญต้องเรียงลำดับตามเกียรติของเหรียญ ดังนี้
                                4.1 เหรียญที่พระราชทานเป็นบำเหน็จความกล้าหาญ มีอาทิ
                                                เหรียญกล้าหาญ
                                                เหรียญชัยสมรภูมิ
                                                เหรียญพิทักษ์เสรีชน
                                4.2 เหรียญที่พระราชทานเป็นบำเหน็จความชอบในราชการแผ่นดิน มีอาทิ
                                                เหรียญดุษฎีมาลาเข็มศิลปวิทยา
                                                เหรียญจักรพรรดิมาลา
                                                เหรียญจักรมาลา
                                                เหรียญราชการชายแดน
                                                เหรียญลูกเสือสรรเสริญ
                                4.3 เหรียญที่พระราชทานเป็นบำเหน็จความชอบในพระองค์พระมหากษัตริย์
                                                เป็นเหรียญที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแต่ละรัชกาลทรงพระกรุณาให้สร้างสำหรับพระราชทานผู้จงรักภักดี ตามพระราชอัธยาศัย ไม่เกี่ยวกับตำแหน่งราชการ มี 2 ชนิดที่สำคัญ คือ
                                                เหรียญรัตนาภรณ์
                                                เหรียญราชรุจิ
                                4.4 เหรียญสำหรับพระราชทานเป็นที่ระลึก
                                                เป็นเหรียญที่ทรงพระกรุณาให้สร้างในโอกาสสำคัญต่าง ๆ เพื่อพระราชทานให้บุคคลทั่วไปตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ประดับได้ตามอัธยาศัยนับตั้งแต่เริ่มสร้างจนถึงปัจจุบันมีจำนวน 25 เหรียญ อาทิ
                                                เหรียญงานฉลอง 25 พุทธศตวรรษ
                                                เหรียญที่ระลึกในการเสด็จพระราชดำเนินเยือนสหรัฐอเมริกาและทวีปยุโรป
                                                เหรียญรัชดาภิเษก
                                                เหรียญที่ระลึกพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร                   
                                                เหรียญสนองเสรีชน
                                                เหรียญที่ระลึกพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
                                                เหรียญที่ระลึกสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี
                                                เหรียญเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระชนมายุครบ 50 ปี

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 20, 2015, 08:48:53 AM โดย เลิศชาย ปานมุข »



ออนไลน์ เลิศชาย ปานมุข

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3923
ตอบกลับ #1 เมื่อ: กรกฎาคม 20, 2015, 08:47:35 AM
ลำดับเกียรติเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย

                เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทยมีลำดับเกียรติลดหลั่นกัน ซึ่งโดยหลักการใหญ่ จะเรียงลำดับประเภท ดังนี้

                                1. เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย

                                2. เหรียญบำเหน็จกล้าหาญ

                                3. เหรียญบำเหน็จในราชการ

                                4. เหรียญบำเหน็จในพระองค์

                                5. เหรียญที่ระลึกต่างๆ

                 และในแต่ละประเภทดังกล่าว จะเรียงลำดับเกียรติของเครื่องราชอิสริยาภรณ์และเหรียญแต่ละชนิดไว้ เพื่อประโยชน์ให้ทราบถึงความสำคัญของเครื่องราชอิสริยาภรณ์ และเหรียญเหล่านั้นรวมทั้งเพื่อที่ผู้ที่ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ หรือเหรียญมากกว่า 1 ชนิด จะได้ทราบถึงการเรียงลำดับเพื่อการประดับได้อย่างถูกต้องซึ่งจะดูได้จาก ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีที่กำหนดลำดับเกียรติของเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย ไว้

การคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์

                การคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์เป็นหน้าที่ของผู้ได้รับพระราชทานฯ ต้องกระทำตามข้อบัญญัติที่กำหนดไว้ตามพระราชบัญญัติเครื่องราชอิสริยาภรณ์ โดยส่วนราชการที่เกี่ยวข้องมีหน้าที่ติดตามเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ดังกล่าว ซึ่งตามพระราชบัญญัติดังกล่าว ได้ระบุกรณีที่จะต้องคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไว้ 3 กรณี คือ

                                1. คืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นรอง เมื่อผู้ได้รับพระราชทาน ฯ ได้รับพระราชทานเครื่องราช ฯ ชั้นสูงขึ้น (ช้างเผือก , มงกุฎไทย) ไม่ต้องคืนประกาศนียบัตรกำกับเครื่องราชอิสริยาภรณ์

                                2. คืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทุกชั้นที่ได้รับ เมื่อผู้ได้รับพระราชทาน ถึงแก่กรรม โดยให้ทายาทเป็นผู้ส่งคืน (ช้างเผือก , มงกุฎไทย) ไม่ต้องคืนประกาศนียบัตรกำกับเครื่องราชอิสริยาภรณ์

                                3. คืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เมื่อทรงพระกรุณาให้เรียกคืน ต้องคืนประกาศนียบัตรกำกับเครื่องราชอิสริยาภรณ์

                การ คืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ในกรณีใด ๆ ตามที่กล่าวมาข้างต้น ถ้าผู้ได้รับพระราชทาน ฯ ไม่สามารถนำเครื่องราชอิสริยาภรณ์มาคืน ก็สามรถชดใช้เงินแทนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตามราคาที่สำนักเลขาธิการคณะ รัฐมนตรีได้แจ้งให้ส่วนราชการต่าง ๆ ทราบ ซึ่งจะมีการปรับราคาตามมติคณะรัฐมนตรี ทุก 3 ปี

ที่มา  :  http://personnel.police7.go.th/
          http://www.panyathai.or.th