ผู้เขียน หัวข้อ: นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง  (อ่าน 3577 ครั้ง)

ออนไลน์ เลิศชาย ปานมุข

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3923
เมื่อ: กรกฎาคม 20, 2015, 08:19:07 PM
พระไพศาล?วิสาโล
แง่คิดจากชีวิตและปรากฏการณ์สังคม?
เพื่ออยู่ในโลกอย่างรู้เท่าทันด้วยใจที่เบิกบาน


rub a roon ย้อนไปปลายศตวรรษที่?๑๙?หลังการค้นพบรังสีเอกซ์ อิเล็กตรอน?กัมมันตภาพรังสี?ซึ่งเปิดพรมแดนแห่งความรู้เกี่ยวกับอะตอมอย่างไม่เคยมีมาก่อน??นักฟิสิกส์จำนวนมากมั่นใจว่าไม่มีเรื่องใหญ่ๆ?ให้ค้นพบอีกต่อไป??ค.ศ.?๑๘๙๙ อัลเบิร์ต?ไมเคิลสัน?(Albert?Abraham?Michelson)?นักฟิสิกส์ชาวอเมริกัน?ถึงกับประกาศว่า??กฎพื้นฐานและข้อเท็จจริงของวิทยาศาสตร์กายภาพที่สำคัญๆ?ถูกค้นพบหมดสิ้นแล้ว??ทั้งหมดนี้ได้รับการยืนยันมั่นคงจนกล่าวได้ว่าโอกาสที่มันจะถูกแทนที่ด้วยการค้นพบใหม่ๆ?มีน้อยนัก?  นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำหลายคนในเวลานั้นเชื่อว่าแม้มีปัญหามากมายที่ยังไม่พบคำตอบ?แต่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ที่ท้าทายความรู้ทางฟิสิกส์ตอนนั้นเลย

ทว่าความเชื่อมั่นนี้มลายไปเมื่อไอน์สไตน์?(Albert?Einstein) เปิดเผยทฤษฎีสัมพัทธภาพ?และ?มักซ์?พลังก์?(Max?Karl?Ernst Ludwig?Planck)?ประกาศทฤษฎีควอนตัมซึ่งต่อยอดโดย?นีลส์?บอร์
(Niels?Hendrik?David?Bohr)??การค้นพบดังกล่าวรวมทั้งความก้าวหน้าหลากหลายที่ตามมาทำให้ฟิสิกส์แบบเก่าถึงกาลอวสานและเป็นจุดเริ่มต้นของฟิสิกส์แบบใหม่??ขณะเดียวกันก็ก่อให้เกิดคำถามใหม่ๆ?ที่สำคัญ?ตั้งแต่ระดับอะตอมถึงเอกภพ?(หรือพหุภพ??)?ซึ่งจนบัดนี้ก็ยังไขได้ไม่หมด??กล่าวอีกนัยหนึ่งแม้มันจะขยายพรมแดนแห่งความรู้ให้กว้างขึ้น?แต่ก็ทำให้เห็นว่าพรมแดนแห่งความไม่รู้ของมนุษย์นั้นใหญ่โตมโหฬารกว่าที่คิดนัก

หลังการค้นพบยาปฏิชีวนะและวัคซีนนานาชนิด?โรคติดเชื้อซึ่งเคยคร่าชีวิตมนุษย์นับล้านถูกกำราบจนบางชนิดสูญพันธุ์??ค.ศ. ๑๙๕๔?ดร.?ที.?พี.?แมกิลล์?(Thomas?Pleines?Magill)?แพทย์อเมริกันประกาศกลางที่ประชุมประจำปีของสมาคมนักวิทยาศาสตร์ภูมิคุ้มกันอเมริกัน?(The?American?Association?of?Immunologists) ว่า??เรามีความยินดีที่สามารถหลุดพ้นอย่างสิ้นเชิงจากความคิดเรื่องวิญญาณชั่วร้าย??เราภูมิใจที่จะอวดอ้างความรู้ของเราเรื่องเชื้อโรค ทั้งมั่นใจว่าความหลุดพ้นและความรู้ดังกล่าวจะช่วยให้กำจัดโรคติดเชื้อได้อย่างสิ้นเชิง?

คำพูดข้างต้นสะท้อนความมั่นใจของแพทย์จำนวนไม่น้อยเมื่อครึ่งศตวรรษที่แล้วว่า?อวสานของโรคติดเชื้อใกล้จะมาถึง?ไม่นานจะไม่มีใครตายเพราะโรคเหล่านั้น??แต่?ณ?วันนี้ไม่มีนักวิทยาศาสตร์การแพทย์คนใดกล้าพูดเช่นนี้อีก?เพราะนอกจากผู้คนมากมายยังคงล้มตายด้วยเชื้อโรคใหม่ๆ?ที่ไม่มีทางรักษา?เช่น?เอดส์?อีโบลา??โรคเก่าๆ?ที่ฝ่อลงก็กลับมาระบาดซ้ำยังดื้อยา?เช่น?วัณโรค?มาลาเรีย  ขณะยาปฏิชีวนะปัจจุบันก็ทำอะไรแบคทีเรียชนิดใหม่?(super?bug) ไม่ได้?ทั้งที่มันกำลังคร่าชีวิตผู้ป่วยในโรงพยาบาลต่างๆ?ทั่วโลก

เมื่อ?ค.ศ.?๑๙๖๘?ปีเตอร์?เบอร์เกอร์?(Peter?Ludwig?Berger) นักสังคมวิทยาชื่อก้องโลกได้ทำนายว่า??เมื่อถึงศตวรรษที่?๒๑?มีแนวโน้มว่าพวกที่เชื่อเรื่องศาสนาจะพบเห็นได้ตามลัทธินิกายเล็กๆ ซึ่งกระจุกอยู่ด้วยกันเพื่อต่อต้านวัฒนธรรมแบบโลกย์ๆ?ที่แพร่ไปทั่วโลก??ความเห็นดังกล่าวสอดคล้องกับ?แอนโทนี?วัลเลซ?(Anthony Francis?Clarke?Wallace)?นักมานุษยวิทยาศาสนา?ซึ่งกล่าวอย่างมั่นใจว่า??อนาคตของศาสนากำลังวิวัฒน์สู่ความดับสูญ?ความเชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์และอำนาจเหนือธรรมชาติซึ่งฝืนกฎธรรมชาติจะเสื่อมถอยและกลายเป็นเพียงความทรงจำทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจเท่านั้น??ความเชื่อเรื่องอำนาจเหนือธรรมชาติมีแต่จะสาบสูญทั่วโลก?อันเป็นผลจากความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่แพร่หลายและพอเหมาะพอสมขึ้นทุกที??กระบวนการนี้เกิดขึ้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้?

แต่ถึงวันนี้เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า?ศาสนานอกจากจะไม่มีแนวโน้มสาบสูญหรือแม้แต่จะเสื่อมถอย?กลับมีบทบาทอย่างยิ่งในโลกปัจจุบันโดยเฉพาะทางการเมือง?บางประเทศถูกปกครองด้วยแนวทางศาสนาอย่างอิหร่านหรืออัฟกานิสถานสมัยหนึ่ง??ขณะบางประเทศกลุ่มศาสนามีพลังมากพอจะตัดสินผลการเลือกตั้งผู้นำประเทศได้เช่นสหรัฐอเมริกา??ไม่จำเป็นต้องพูดถึงการก่อการร้ายอันมีศาสนาเป็นแรงบันดาลใจซึ่งสร้างผลสะเทือนไปทั่วโลกมานานกว่า ๒?ทศวรรษ

การคาดการณ์อนาคตนั้นย่อมมีโอกาสผิดพลาดเสมอ?เพราะอนาคตเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน??แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าความผิดพลาดทั้งสามกรณีมีสาเหตุสำคัญจากความมั่นใจในความรู้ของตนมากเกินไป  เนื่องจากเชื่อมั่นว่าตนรู้เห็นความจริงอย่างถี่ถ้วนและทั่วถึง?จึงสามารถ??ฟันธง??ได้อย่างเต็มปากเต็มคำโดยไม่ตระหนักว่าความจริงนั้นมีความซับซ้อนและลึกซึ้งกว่าที่ตนเข้าใจ??เมื่อกาลเวลาผ่านไปและความจริงคลี่คลาย?กลับกลายเป็นว่าการคาดการณ์ดังกล่าวสะท้อนถึงความรู้อันจำกัดของผู้พยากรณ์ยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด??ถึงวันนี้คงไม่มีใครคิดว่าครั้งหนึ่งนักวิชาการชั้นนำจะหาญกล้าคาดการณ์เช่นนั้น

ทั้งสามกรณีชี้ให้เห็นว่า?สิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญรู้นั้นนับว่าเล็กน้อยนักเมื่อเทียบกับความไม่รู้ของตน??ผู้รู้ที่แท้จริงจะตระหนักเสมอว่าความรู้ที่ตนมีเป็นเพียงส่วนเสี้ยวของความจริงที่มีพรมแดนกว้างไกล?ยังมีสิ่งที่ไม่รู้อีกมากมายหลายเท่าตัว?ดังนั้นจึงมีความถ่อมตนและเปิดใจเรียนรู้เสมอ??นอกจากจะไม่คาดคะเนอนาคตด้วยความมั่นอกมั่นใจยังต้องไม่ด่วนสรุปว่าสิ่งที่ตนรู้เท่านั้นที่เป็นจริง?เพราะสิ่งที่คนอื่นรับรู้แม้จะต่างจากตนก็อาจจริงเช่นกัน

ยุคนี้ถือว่าเป็นยุคสารสนเทศ?ใครๆ?ก็เข้าถึงความรู้และข้อมูลข่าวสารได้ไม่ยาก?ดังนั้นจึงง่ายที่ใครต่อใครจะเข้าใจว่าตนเองรู้?จนลืมไปว่าความรู้ของคนเรานั้นถึงอย่างไรก็มีน้อยกว่าความไม่รู้เสมอ  หากเราตระหนักถึงความข้อนี้ก็จะฟังคนอื่นมากขึ้น?ไม่ด่วนปฏิเสธข้อมูลหรือความเห็นของผู้คิดต่างจากตนว่าผิดหรือไม่ถูกต้อง

เป็นเพราะมนุษย์มีความรับรู้จำกัด?พระพุทธองค์จึงทรงแนะนำให้เรามีท่าทีที่เรียกว่า??สัจจานุรักษ์??กล่าวคือ?เมื่อเชื่อหรือรับรู้อะไรมาก็ไม่ควรปักใจว่าความจริงต้องเป็นอย่างที่ตนเชื่อหรือรับรู้เท่านั้น ดังพุทธพจน์ว่า??บุรุษผู้เป็นวิญญู?เมื่อจะคุ้มครองสัจจะ?ไม่ควรลงความเห็นในเรื่องนั้นเด็ดขาดลงไปอย่างเดียวว่า??อย่างนี้เท่านั้นจริง อย่างอื่นเหลวไหล??

สาเหตุที่ผู้คนมีความขัดแย้งกันทุกวันนี้?ส่วนหนึ่งเพราะมั่นใจในความถูกต้องของตนจนกลายเป็นการผูกขาดความจริงไป??ใครคิดต่างจากตนก็สรุปทันทีว่าเหลวไหล?โง่เขลา?จึงเกิดการทะเลาะวิวาทได้ง่าย??หากเพียงแต่คนเราตระหนักว่าสิ่งที่ตนไม่รู้นั้นมีนับอนันต์แม้เป็นเรื่องที่ศึกษามาก็ตาม?ความเห็นต่างนอกจากจะไม่นำมาซึ่งการวิวาทบาดหมาง?ยังอาจเพิ่มพูนสติปัญญาและขยายพรมแดนแห่งความรู้ของตนให้กว้างขวางขึ้นด้วยแม้นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง?เราจึงควรเผื่อใจไว้เสมอว่าสิ่งที่เรารู้หรือเชื่ออาจผิดได้

    ตีพิมพ์ใน นิตยสาร สารคดี ฉบับที่ 354 สิงหาคม 2557