ผู้เขียน หัวข้อ: คนเราเข้าวัดเพื่ออะไร?  (อ่าน 3809 ครั้ง)

ออฟไลน์ เลิศชาย ปานมุข

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3923
เมื่อ: กรกฎาคม 17, 2019, 12:04:50 AM
คนเราเข้าวัดเพื่ออะไร? เรื่องน่าคิดจากพระไพศาล วิสาโล

การปลอบประโลมใจหรือให้ความหวังแก่คนที่ถูกทุกข์รุมเร้านั้น เป็นบทบาทที่สำคัญ (ของพุทธศาสนา) อย่างน้อยก็เป็นทางเลือกที่ดีกว่าการปล่อยให้เขาจมอยู่ในความทุกข์ ไร้ทางออก สิ้นหวัง จนต้องหันไปทำร้ายตนเองหรือทำร้ายผู้อื่น

แต่พุทธศาสนาหรือบุคลากรทางศาสนา เช่น พระสงฆ์ ไม่ควรหยุดเพียงแค่นั้น เพราะการปลอบประโลมใจหรือให้ความหวังแก่ผู้คนนั้น เป็นการช่วยเขาเพียงชั่วคราวเท่านั้น แม้เขาจะมีเรี่ยวแรงกลับมาตั้งหลักสู้ชีวิตจนปัญหาผ่านพ้นไป อาจจะหายป่วย พ้นจากหนี้สิน หรือทำงานลุล่วง

แต่ในที่สุดเขาก็ต้องประสบกับความเจ็บป่วย ความพลัดพรากสูญเสีย และความตายในที่สุด หากเขาไม่ตระหนักถึงความจริงดังกล่าว หรือไม่เตรียมตัวเตรียมใจเผชิญกับความจริงเหล่านี้ ก็จะทุกข์ทรมานเป็นอย่างยิ่งเมื่อมันมาอยู่ต่อหน้า

การปลอบประโลมใจจึงเป็นเสมือน ?ยาระงับปวด? ที่ช่วยบรรเทาทุกข์เพียงชั่วคราวเท่านั้น

อย่างไรก็ตามทุกวันนี้วัดและพระสงฆ์ส่วนใหญ่มุ่งปลอบประโลมใจญาติโยม พูดให้เขาสบายใจสถานเดียว นอกจากไม่ยอมบอกความจริงอันระคายหู(แต่จำเป็น)แล้ว ยังถึงขั้นตามใจหรือพะเน้าพะนอญาติโยม เช่น อวยพรให้เขา ?รวย ๆๆ? อย่างเดียว กลายเป็นการพะเน้าพะนอกิเลส ส่งเสริมตัณหา ซึ่งมีมากอยู่แล้ว ให้มีมากขึ้น

ในฝ่ายญาติโยมก็เช่นกัน พากันมาวัดเพียงเพื่อหาความสบายใจ ไม่ใช่เพื่อคลายทุกข์เท่านั้น แต่ยังอยากได้ยินคำพูดที่ถูกใจถูกกิเลสจากพระ ครั้นพระพูดถึงความจริงของชีวิตที่กระตุกใจให้ไม่ประมาท กระทุ้งใจไม่ให้เพลิดเพลินหลงใหลในสิ่งที่เป็นมายา หรือกระแทกกิเลสไม่ให้กำเริบ กลับไม่อยากได้ยิน อุดหูสถานเดียว จำนวนไม่น้อยมาวัดเพื่อทำบุญ ครั้นได้เวลาพระแสดงธรรม ก็รีบกลับบ้านทันที

ท่าทีดังกล่าวไม่ได้เกิดกับญาติโยมที่มาวัดเพื่อทำบุญ ขอน้ำมนต์ เช่าวัตถุมงคล เท่านั้น แม้กระทั่งผู้ที่เรียกตนว่านักปฏิบัติธรรม จำนวนไม่น้อยก็เข้าวัดเพียงเพื่อความสบายใจชั่วคราว มาภาวนาเพียงเพื่อให้ใจสงบ ไม่มีเรื่องว้าวุ่นใจ แต่ไม่คิดที่จะขูดกิเลส ลดความเห็นแก่ตัว หรือขัดเกลาตนเอง ลึก ๆ ก็ยังยึดติดในลาภ ยศ สรรเสริญ และสุข แม้ครูบาอาจารย์จะพูดถึงโทษของกิเลสและความยึดติดถือมั่น ก็ไม่สนใจที่จะนำมาพิจารณาอย่างจริงจัง หลายคนอยากไปหาครูบาอาจารย์ที่พูดนุ่ม ๆ ไปอยู่สำนักที่สบาย เลี่ยงไปหาครูบาอาจารย์ที่มุ่งขนาบลูกศิษย์

พระพุทธองค์แม้ทรงเปี่ยมด้วยพระมหากรุณา ปรารถนาจะช่วยสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ อีกทั้งให้ความหวังแก่เราว่าการพ้นทุกข์นั้นเป็นไปได้ ดังที่เคยตรัสว่า ผู้ใดอาศัยพระองค์เป็นกัลยาณมิตรแล้ว ย่อมพ้นจากความเกิด แก่ เจ็บ และความทุกข์ แต่ในเวลาเดียวกันอีกด้านหนึ่งของพระองค์ก็คือการเคี่ยวเข็นไม่อ่อนข้อกับกิเลสของผู้คน ดังตรัสกับพระอานนท์ว่า

?เราจะไม่ทำกับพวกเธออย่างทะนุถนอม ?..เราจะขนาบแล้วขนาบอีกไม่มีหยุด?

คำสอนของพระองค์ก็เช่นกัน นอกจากด้านที่ให้ความหวังแก่ผู้คนแล้ว ยังมีอีกด้านที่คอย ?ขนาบ? ผู้คน เพื่อขูดเกลากิเลส และรื้อถอนอวิชชา ด้วยเหตุนี้พุทธศาสนาไทยนอกจากจะมีหลวงพ่อคูณ แล้วจำเป็นต้องมีพระอย่างหลวงตามหาบัวด้วย

เป็นชาวพุทธทั้งทีควรได้ประโยชน์สูงสุดจากพุทธศาสนา จึงไม่ควรหวังความสบายใจจากพุทธศาสนาอย่างเดียว แต่ต้องพร้อมที่จะฟังความจริงที่ไม่หวานหู ไม่พะนอกิเลส แต่เขย่าใจให้ตื่น

รวมทั้งกล้าที่จะเคี่ยวเข็นตนเอง เข้าหาการปฏิบัติที่ขูดเกลากิเลส สั่นคลอนความหลง ท้าทาย (ความยึดติดใน) อัตตา พร้อมให้ครูบาอาจารย์ขนาบแล้วขนาบอีก ด้วยวิธีอย่างนี้เท่านั้นที่ความทุกข์จะลดลงจนไม่เหลืออีกต่อไป

เรื่อง : พระไพศาล วิสาโล

ที่มา : เพจข้อธรรม คำสอน พระไพศาล วิสาโล https://www.facebook.com/visalo