ผู้เขียน หัวข้อ: ทฤษฎีการบริหารคน ตามแนวท่าน ว.วชิรเมธี  (อ่าน 4343 ครั้ง)

ออฟไลน์ เลิศชาย ปานมุข

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3923

ท่าน ว.วชิรเมธี ได้ให้แนวทางการบริหารคน เพื่อความสำเร็จขององค์กรตามแนวอาชีพดังต่อไปนี้ คือ พนักงานรถไฟ แพทย์ ชาวนา และชาวประมง ที่ได้เขียนในหนังสือ "บริหารคนให้สำราญ บริหารงานให้สัมฤทธิ์"

"ท่าน ว.วชิรเมธี" ตั้งข้อสังเกตว่า คน คือองค์รวมของวิวัฒนาการสูงสุด ดังนั้น การอยู่กับคนให้ราบรื่น จึงไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งการบริหารคนให้ประสบความสำเร็จ ยิ่งต้องใช้สติปัญญา และศิลปะขั้นสูง แต่ถ้าหากใครทำได้ คนคนนั้นนับเป็นยอดคน เหมือนกับปราชญ์คนหนึ่งเคยกล่าวว่า สุดยอดของการทำงาน ก็คือการทำงานที่เกี่ยวเนื่องกับคนให้ประสบความสำเร็จ

ธรรมะกับผู้บริหารจึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจแยกจากกัน ถ้าเราแยกออกจากการกันเมื่อไหร่ การบริหารนั้นก็ล้มเหลว ไม่มีใครฟัง เสมือนเป็นการบริหาร แต่ไม่มีคนทำตาม และทุกองค์กรล้วนเป็นอย่างนี้ทั้งสิ้น ดังนั้น ถ้าผู้บริหารไม่มีศักยภาพที่จะบริหาร เพราะขาดหัวใจคือธรรมะ ถึงใช้อำนาจบริหาร ก็ไม่มีคนทำตาม ดังนั้น ธรรมะในการบริหาร จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น ขาดไม่ได้ ขึ้นอยู่กับผู้บริหารด้วยว่าจะมีวุฒิภาวะในการนำมาใช้อย่างไร และเหมาะกับสถานการณ์ใด สถานการณ์หนึ่งหรือไม่ แต่สำหรับ "ท่าน ว.วชิรเมธี" มองว่าทฤษฎีผู้บริหารนั้นมีอยู่ด้วยกัน 4 แบบด้วยกัน ดังนี้

1. ผู้บริหารแบบพนักงานรถไฟ

ท่าน ว.วชิรเมธี มองว่า มักจะไปตามราง มีโบกี้รถไฟ มีรางรถไฟ ขึ้นไปขับรถไฟ ไปตามราง จากสถานีต้นทางถึงปลายทาง

นั่นหมายความว่า ไม่คิดอะไรใหม่ ไม่ท้าทาย ไม่ลงทุน ไม่ปรับปรุง ไม่แสวงหาบริการเสริม ไม่ขายบริการ ขับไปเรื่อย ๆ กี่ปีกี่ชาติก็เป็นเช่นนั้น ปล่อยให้ระบบไหลไปตามกลไกของมันเอง โดยที่ตนเองแทบไม่แตะส่วนใด ๆ กลายเป็นผู้บริหารประจำ เวลามีใครมาถามอะไร ถ้าเรื่องยังมาไม่ถึง ต่อให้มารบกันอยู่หน้าบริษัท ก็ไม่เรียกประชุม คำตอบคือ ยังไม่ได้รับรายงาน ให้ผู้เกี่ยวข้องว่ากันไป

ผู้บริหารอย่างนี้จะทำให้องค์กรอย่างดีที่สุดก็คือทรง อย่างแย่ก็ทรุด แล้วคนเก่งก็ไม่อยู่กับผู้บริหารที่ทำงานแบบพนักงานรถไฟ เพราะเขาต้องการอนาคตกันทั้งนั้น ทำให้ผู้บริหารเช่นนี้จำนวนมากไม่มีคนเก่งในองค์กร เพราะมัวแต่ขับรถไฟไปตามรางแบบเรียบ ๆ ไม่มีการวางแผน ปรัชญา วิสัยทัศน์ พันธกิจไม่ต้อง ทุกอย่างเป็นไปตามปกติว่ากันไปตามขั้นตอน

2. ผู้บริหารแบบนายแพทย์

เป็นนักแก้ปัญหา เวลาปัญหาเกิดขึ้น จะหาสมมติฐาน หาสาเหตุ หาวิธีการ แล้วลงมือผ่าตัด เยียวยารักษา ถ้าเยียวยารักษาได้ นายแพทย์จะมีความสุขมาก

ดังนั้น ผู้บริหารแบบนายแพทย์ จึงเป็นผู้บริหารนักทำงาน แต่ก็เหมือนนายแพทย์คือ ถ้าไม่มีการเข็นผู้ป่วยมาที่โรงพยาบาลก็ไม่ทำอะไรเหมือนกัน ถ้าผู้ป่วยมาไม่ถึง ถึงเวลานัดหมายแล้ว คนไข้ยังไม่มา ก็อาจเล่นบีบี เล่นทวิตเตอร์ หรือเล่นเฟซบุ๊กอยู่ก็ได้ แต่เมื่อผู้ป่วยฉุกเฉินเข้ามา ถึงจะลงมือทำงาน

อย่างไรก็ดี ผู้บริหารแบบนายแพทย์ ยังดีกว่าผู้บริหารแบบพนักงานรถไฟ ที่ว่ากันไปตามขั้นตอน แต่ผู้บริหารแบบนายแพทย์ พอมีปัญหา ก็ลุกขึ้นมาแก้ไข ผู้บริหารแบบนี้ เป็นนักแก้ปัญหาที่ดีของระบบที่ดี แต่ค่อนข้างขาดวิสัยทัศน์ในการรุกคืบไปข้างหน้า ยังจำกัดพื้นที่อยู่เฉพาะในองค์กรเท่านั้น

3. ผู้บริหารแบบชาวนา

คือผู้บริหารที่เอาธรรมชาติเข้าว่า การเมืองไม่ดีก็ไม่เป็นไร นักท่องเที่ยวไม่มาก็ไม่เป็นไร สบาย ๆ คือไม่คิดอะไรใหม่ จำกัดอยู่ในพื้นที่ของตัวเองเท่านั้น จะไม่ขยายตลาดเพิ่ม และผู้บริหารชนิดนี้จะจำกัดพื้นที่ที่ได้รับผิดชอบ มีมาเท่าไหร่จะจำกัดอยู่แค่นั้น ไม่ค่อยคิดโครงการล่วงหน้า ปฏิทินงานไม่ค่อยมีอะไรหวือหวาไม่ซับซ้อน

พนักงานในองค์กรนี้ นั่งเซ็งกันเป็นส่วนใหญ่ เพราะว่าไม่มีงานพิเศษเข้ามา ไม่มีความท้าทาย ไม่ตื่นเต้น งานอีเวนต์ก็ไม่ทำ แต่ผู้บริหารแบบชาวนายังดีคือมุ่งผลผลิต ถึงแม้จะไม่ทำงานหวือหวา แต่ชาวนาที่ดีก็คือยังหวังที่จะมีผลผลิตที่ดีเสมอ เช่นเดียวกับผู้บริหารที่ไม่เพิ่มงานใหม่ แต่ยังพยายามที่จะบริหารงานหน้าตักให้มีผล งอกเงย ก็ยังนับว่าเป็นผู้บริหารที่ใช้ได้

4. ผู้บริหารแบบชาวประมง

เป็นนักเสี่ยง นักท้าทาย และนักแสวงโชค เพราะมีความเชื่อมั่น ในตัวเองสูง กล้าคิด กล้าทำ กล้านำ และกล้ารับผิดชอบ

ข้อดีของชาวประมงคือถ้าไม่มีทักษะ คุณก็จับปลาไม่ได้ แต่ข้อเสียคือความเสี่ยง แต่ส่วนมากแล้วชาวประมง ก็กล้าที่จะเสี่ยง เพราะถ้าเสี่ยงจนเกิดทักษะแล้ว ความเสี่ยงจะกลายเป็นโชค เราจึงเรียกผู้บริหารที่กล้าท้าทายว่านักเสี่ยงโชค

ดังตัวอย่าง "สตีฟ จอบส์" ผู้ก่อตั้ง Apple พอบริษัทมีทรัพย์สินกว่าพันล้าน จู่ ๆ ก็ถูกลูกน้อง และผู้ถือหุ้นไล่ออกจากบริษัทที่ตัวเองตั้งมากับมือ สตีฟ จอบส์ต้องออกไปเหมือนหมาหัวเน่า เดินลงจากตึก ด้วยน้ำตานองหน้า แต่เขาหายไปครึ่งปี และยังมีสัญชาตญาณผู้บริหารแบบชาวประมง แล้วเขาก็คิดขึ้นได้ว่า เราแค่ถูกไล่ออกจากบริษัท แต่ศักยภาพในการคิดงานยังอยู่กับเราครบทุกอย่าง พอคิดขึ้นได้เขาก็ไปตัดผมใหม่ แล้วเดินไปจดทะเบียนบริษัทใหม่ชื่อว่าบริษัทเน็กซ์ บริษัทนี้ผลิตคอมพิวเตอร์เพื่อเป็นคู่แข่งกับแอปเปิล

ไม่กี่ปียอดขายของบริษัทเน็กซ์ก็หายใจลดต้นคอกับบริษัทแอปเปิล ผู้ถือหุ้นบริษัทเดิมนั่งคุยกัน ว่าเราจะปล่อยให้สตีฟ จอบส์ท้าทายพวกเราอย่างนี้ไม่ได้ มิเช่นนั้น แอปเปิลจะเข้าตาจนในที่สุด ทั้งสองบริษัทจึงควบรวมกิจการกัน สิ่งแรกที่สตีฟ จอบส์ทำคือ ปลดซีอีโอคนนั้นที่เคยปลดเขาออกให้ออกไป จากนั้น จอบส์ก็เข้ามาบริหารเองตั้งแต่วันนั้น จนถึงวันนี้ จนกลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลของโลก และว่ากันว่า ทุกครั้งที่จอบส์ออกนวัตกรรมใหม่ นั่นหมายความว่าโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปอีกยุคหนึ่ง

นี่คือตัวอย่างคนกล้าเสี่ยงของผู้บริหารแบบชาวประมง ที่ผู้บริหารในยุคนี้ควรเอาแบบอย่าง ในการกล้าคิด กล้าทำ และกล้าเสี่ยง ไม่หยุดนิ่งอย่างกับเต่าล้านปีอีกต่อไป

จะเห็นได้แล้วว่า คนที่จะมาทำงานในตำแหน่งผู้บริหารคนต่อไป ควรจะเป็นแบบอาชีพใด ที่จะนำพาองค์กรของคุณให้ประสบผลสำเร็จมากที่สุดนั่นเอง


อ้างอิง : ท่าน ว.วชิรเมธี
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ