ผู้เขียน หัวข้อ: การสังคายนา การชำระ และการจารึกกับการพิมพ์พระไตรปิฎกในประเทศไทย  (อ่าน 8144 ครั้ง)

ออฟไลน์ เลิศชาย ปานมุข

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3923

พระไตรปิฎก
เป็นคัมภีร์หรือตำราทางพระพุทธศาสนา  ซึ่งรวบรวมคำสั่งสอนของ พระพุทธเจ้า  ไว้เป็นหมวดหมู่   แบ่งออกเป็น 3 ปิฎก ด้วยกันคือ
                1. พระวินัยปิฎก ว่าด้วยวินัยหรือศีลของ ภิกษุและภิกษุณี
                2. พระสุตตันตปิฎก ว่าด้วยพระธรรมเทศนาโดยทั่วไป มีประวัติและท้องเรื่องประกอบ
                3. พระอภิธรรมปิฎก ว่าด้วยธรรมะล้วน  ไม่มีประวัติ และท้องเรื่องประกอบ

แผนผังพระไตรปิฎก พระวินัยปิฎกมีอยู่ 5 หมวดด้วยกันคือ
                1. มหาวิภังค์ ว่าด้วยข้อห้าม หรือวินัยที่เป็นหลักใหญ่ ๆ ของพระภิกษุ  เป็นศีลของภิกษุที่มาในปาติโมกข์
                2. ภิกษุณีวิภังค์ ว่าด้วยข้อห้าม หรือวินัย ของพระภิกษุณี
                3. มหาวัคค์ ว่าด้วยพุทธประวัติตอนแรก  และพิธีกรรมทางพระวินัย  แบ่งออกเป็นขันธกะ
10  หมวด
                4. จุลลวัคค์ ว่าด้วยพิธีกรรมทางพระวินัย  ความเป็นมาของพระภิกษุณี และประวัติการทำสังคายนา  แบ่งออกเป็นขันธกะ 12 หมวด
                5. บริวาร ว่าด้วยข้อเบ็ดเตล็ดทางพระวินัย  เป็นการย่อหัวข้อสรุปเนื้อความ  วินิจฉัยปัญหาใน 4  เรื่องข้างต้น

พระสุตตันตปิฎก มีอยู่ 5 หมวดด้วยกัน คือ
                1. ทีฆนิกาย ว่าด้วยพระสูตร  หรือพระธรรมเทศนาขนาดยาว  มี 34 สูตร
                2. มัชฌิมนิกาย ว่าด้วยพระสูตร หรือพระธรรมเทศนาขนาดกลาง ไม่ยาวและไม่สั้นเกินไป
มี  152  สูตร
                3. สังยุตตนิกาย ว่าด้วยพระสูตร หรือพระธรรมเทศนา ที่ประมวลธรรมะไว้เป็นพวก ๆ เรียกว่า สังยุต เช่นกัสสปสังยุต ว่าด้วยเรื่องของพระมหากัสสป  โกศลสังยุต  ว่าด้วยเรื่องในแคว้นโกศล  มัคคสังยุต  ว่าด้วยเรื่องมรรคคือข้อปฎิบัติ เป็นต้น   มี  7,762  สูตร
                4. อังคุตตรนิกาย ว่าพระพระสูตร หรือพระธรรมเทศนาเป็นข้อ ๆ ตามลำดับจำนวน เช่น ธรรมะหมวด 1   ธรรมะหมวด 2   ธรรมะหมวด  10   แต่ละข้อก็มีจำนวนธรรมะ  1, 2, 10  ตามหมวดนั้น
มี  9,557  สูตร
                5. ขุททกนิกาย ว่าด้วยพระสูตร หรือพระธรรมเทศนาเบ็ดเตล็ด  รวมทั้งภาษิตของพระสาวก ประวัติต่าง ๆ  และชาดก  รวบรวมหัวข้อธรรมที่ไม่จัดเข้าใน  4 หมวดข้างต้น  แบ่งเป็นหัวข้อใหญ่มี 15 เรื่อง

พระอภิธรรมปิฎก แบ่งออกเป็น 7 เรื่องด้วยกันคือ
                1. ธัมมสังคณี ว่าด้วยธรรมะ รวมเป็นหมวดเป็นกลุ่ม
                2. วิภังค์ ว่าด้วยธรรมะแยกเป็นข้อ ๆ
                3. ธาตุกถา ว่าด้วยธรรมะจัดระเบียบความสำคัญโดยถือธาตุเป็นหลัก
                4. ปุคคลบัญญัติ ว่าด้วยบัญญัติ 6 ชนิด  และแสดงรายละเอียดเฉพาะบัญญัติอันเกี่ยวกับบุคคล
                5. กถาวัตถุ ว่าด้วยคำถามคำตอบในหลักธรรม  จำนวนหนึ่งประมาณ  219  หัวข้อ  เพื่อถือเป็นหลักในการตัดสินพระธรรม
                6. ยมก ว่าด้วยธรรมะที่รวมเป็นคู่ ๆ
                7. ปัฏฐาน ว่าด้วยปัจจัย คือสิ่งที่เกื้อกูลสนับสนุน  24  อย่าง

ความเป็นมาของพระไตรปิฎก
                1. พระพุทธเจ้าทรงแนะนำให้ร้อยกรองพระธรรมวินัย  สมัยเมื่อนิครนถ์  นาฎบุตร  เจ้าลัทธิสำคัญคนหนึ่งสิ้นชีพ  พวกสาวกเกิดแตกกัน พระจุนทเถระเกรงจะเกิดเหตุการณ์เช่นนั้น ในพระพุทธศาสนา  จึงพร้อมกับพระอานนท์ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า  พระองค์ได้ทรงตรัสบอกพระจุนทะ ให้รวบรวมธรรมภาษิตของพระองค์ และทำสังคายนา คือจัดระเบียบทั้งโดยอรรถและพยัญชนะ  เพื่อให้พรหมจรรย์ตั้งมั่นต่อไป
                2. พระสารีบุตรแนะนำให้ร้อยกรองพระธรรมวินัย  ในห้วงเวลาเดียวกันนั้น ค่ำวันหนึ่ง  เมื่อพระผู้มีพระภาคแสดงธรรมจบแล้ว  ได้มอบหมายให้พระสารีบุตรแสดงธรรมต่อ  พระสารีบุตรได้แนะนำให้รวบรวม  ร้อยกรองพระธรรมวินัย   โดยจัดหมู่ธรรมะเป็นข้อ ๆ ตั้งแต่ข้อ 1 ถึงข้อ 10  ว่ามีธรรมะใดบ้างอยู่ในหมวดนั้น ๆ  พระผู้มีพระภาคทรงรับรองว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้อง  เห็นว่าบรรดาพระภิกษุทั้งหลายยังใคร่จะฟังธรรมต่อไปอีก พระองค์จึงได้มอบหมายให้พระสารีบุตร แสดงธรรมแทน  พระสารีบุตรได้  แนะนำให้รวบรวมร้อยกรองพระธรรมวินัย โดยจัดหมวดหมู่ธรรมะเป็นข้อ ๆ ตั้งแต่ข้อ ๑ ถึงข้อ ๑๐ ว่ามีธรรมะใดบ้างอยู่หมวด ๑ หมวด ๒ จนถึงหมวด ๑๐ ซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงรับรองว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้อง
                3. พระมหากัสสป เป็นผู้ริเริ่มให้มีการสังคายนา จัดระเบียบพระพุทธวจนะให้เป็นหมวดหมู่
                4. พระอานนท์ เป็นผู้ที่ทรงจำพระพุทธวรนะไว้ได้มาก  เป็นพุทธอุปฐาก ได้ขอพร หรือขอรับเงื่อนไขจาก พระพุทธเจ้า 8 ประการ ในเงื่อนไขประการที่ 7 และประการที่ 8 มีส่วนช่วยในการ สังคายนาพระธรรมวินัยมาก  กล่าวคือ
                ประการที่ 7  ถ้าความสงสัยของข้าพระองค์เกิดขึ้นเมื่อใด  ขอให้ได้เข้าเฝ้าทูลถามเมื่อนั้น
                ประการที่ 8  ถ้าพระองค์แสดงข้อความอันใด  ในที่ลับหลังข้าพระองค์  ครั้นเสด็จมาแล้ว จักตรัสบอกข้อความอันนั้น  แก่ข้าพระองค์
                ทั้งนี้โดยเฉพาะประการที่ 8 อันเป็นข้อสุดท้ายมีเหตุผลว่า  ถ้ามีใครถามท่านในที่ลับหลัง พระพุทธเจ้าว่า คาถานี้  สูตรนี้  ชาดกนี้  พระผู้มีพระภาดแสดงที่ไหน  ถ้าพระอานนท์ตอบไม่ได้  ก็จะมีผู้กล่าวว่า  พระอานนท์ตามเสด็จพระศาสดาไปดุจเงาตามตัว  แม้เพียงเรื่องเท่านี้ก็ไม่รู้
                ดังนั้น เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว  พระอานนท์จึงได้รับหน้าที่ตอบคำถามเกี่ยวกับพระธรรม ในคราวสังคายนาครั้งแรก  หลังพุทธปรินิพพาน 3 เดือน
            ในสมัยที่ยังไม่มีการจดจารึกเรื่องราวไว้  เป็นตัวอักษรอย่างกว้างขวางเช่นในปัจจุบัน  มนุษย์จึงต้องอาศัยความจำเป็นเครื่องสำคัญ  ในการบันทึกเรื่องราวนั้น ๆ ไว้  แล้วบอกเล่าต่อ ๆ กันมา  การทรงจำและบอกต่อ ๆ กันมาด้วยปากนี้  เรียกว่า มุขปาฐะ
                5. พระอุบาลี  เป็นผู้ที่สนใจและจดจำพระธรรมพระวินัยได้เป็นพิเศษ  มีความเชี่ยวชาญใน พระวินัย  ในการทำสังคายนาครั้งแรก  พระอุบาลีได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ตอบคำถามเกี่ยวกับ พระวินัยปิฎก
                6. พระโสณกุฎิกัณณะ  เป็นผู้ที่ทรงจำได้ดีมาก เคยท่องจำบางส่วนของ พระสุตตันตปิฎก  เฉพาะพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า  ได้รับสรรเสริญว่าทรงจำได้ดีมาก  รวมทั้งท่วงทำนองในการกล่าว   ว่าไพเราะ สละสลวย   แสดงให้เห็นถึง การท่องจำพระธรรมวินัย  ได้มีมาตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้า

การสังคายนาพระไตรปิฎก

                พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ สมัยเมื่อใกล้จะปรินิพพานว่า  ธรรมวินัยที่เราแสดงแล้ว    บัญญัติแล้วแก่เธอทั้งหลาย ธรรมและวินัยนั้น จะเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว

                ตามหลักฐานของพระเถระฝ่ายไทย กล่าวว่า การสังคายนามี 9 ครั้ง

การสังคายนาครั้งที่ 1  กระทำที่ถ้ำสัตตบรรณคูหา ข้างเขาเวภารบรรพต ใกล้กรุงราชคฤห์   ประเทศอินเดียปัจจุบัน   กระทำหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพานได้ 3 เดือน มีพระอรหันต์ประชุมกัน 500 รูป   พระมหากัสสปเป็นประธานและเป็นผู้สอบถาม พระอานนท์เป็นผู้ตอบข้อซักถามทางพระธรรม พระอุบาลี  เป็นผู้ตอบข้อซักถามทางพระวินัย พระเจ้าอชาติศัตรูเป็นผู้อุปถัมภ์ กระทำอยู่ 7 เดือน   จึงแล้วเสร็จ การสังคายนาครั้งนี้มีปรากฎอยู่ในพระวินัยปิฎก

การสังคายนาครั้งที่ 2  กระทำที่วาลิการาม เมืองเวสาลี แคว้นวัชชี ประเทศอินเดียปัจจุบัน   กระทำเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานได้ 100 ปี มีพระสงฆ์ประชุมกัน 700 รูป พระยสะ กากัณฑกบุตร เป็นผู้ชักชวน พร้อมพระผู้ใหญ่อีก 8 รูป พระเรวตะเป็นผู้ถาม พระสัพพกามีเป็นผู้ตอบปัญหาทางพระวินัย ที่เกิดขึ้น กระทำอยู่ 8 เดือน  จึงแล้วเสร็จ การสังคายนาครั้งนี้ มีปรากฎในพระวินัยปิฎก

การสังคายนาครั้งที่ 3  กระทำที่อโศการาม กรุงปาตลีบุตร ประเทศอินเดีย กระทำเมื่อ พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว 235 ปี   มีพระสงฆ์ประชุมกัน 1,000 รูป พระโมคคลีบุตร ติสสเถระ เป็นหัวหน้า พระเจ้าอโศกมหาราชเป็นผู้อุปถัมภ์ กระทำอยู่ 9 เดือน   จึงแล้วเสร็จ การสังคายนาครั้งนี้  พระโมคคลีบุตรได้แต่งกถาวัตถุ ซึ่งเป็นคัมภีร์ในพระอภิธรรมเพิ่มขึ้น  เมื่อทำสังคายนาเสร็จแล้วได้ส่ง คณะทูต ไปประกาศพระพุทธศาสนาในประเทศต่าง ๆ   พระมหินทเถระได้นำพระพุทธศาสนาไปประดิษฐานในลังกา

การสังคายนาครั้งที่ 4  กระทำที่อินเดียภาคเหนือ  ณ เมืองชาลันทร  แต่บางหลักฐานก็ว่า กระทำที่เมืองกาษมีระหรือแคชเมียร์   ภิกษุที่เข้าประชุมมีทั้งฝ่ายเถรวาทและมหายาน   กระทำเมื่อ พ.ศ. 643  มีกษัตริย์ประเทศราชมาร่วม 21 พระองค์  มีทั้งพระสงฆ์ผู้คงแก่เรียนและพราหมณ์ผู้ทรงความรู้ประชุมกัน  การสังคายนาครั้งนี้จึงมีลักษณะผสมคือ  มีทั้งพุทธและพราหมณ์ ภาษาที่ใช้สำหรับพระไตรปิฎกไม่เหมือนกัน  คือฝ่ายเถรวาทใช้ภาษาบาลี  ฝ่ายมหายานใช้ภาษาสังสฤต (บางครั้งก็ปนปรากิต)   การสังคายนาครั้งนี้ ไม่มีบันทึกหลักฐานทางฝ่ายเถรวาท

การนับสังคายนาของไทย

               ไทยเรายอมรับรองการสังคายนาครั้งที่ 1,2 และ 3 ในอินเดีย   และครั้งที่ 1, 2, 3 และ 4 ในลังกา  ซึ่งกระทำเมื่อ  พ.ศ. 238,  พ.ศ. 433,  พ.ศ. 956 และ พ.ศ. 1587  รวมกันเป็น 7 ครั้ง

การสังคายนาครั้งที่ 8  ทำในประเทศไทย เมื่อประมาณ พ.ศ. 2020 พระเจ้าติโลกราช
แห่งเชียงใหม่ได้อาราธนาพระภิกษุผู้ทรงพระไตรปิฎกหลายร้อยรูปช่วยกันชำระพระไตรปิฎกที่วัดโพธาราม ใช้เวลา 1 ปี   จึงแล้วเสร็จ การสังคายนาครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 1 ในประเทศไทย

การสังคายนาครั้งที่ 9  ทำในประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. 2331 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ฯ ได้ทรงอาราธนาพระสงฆ์ให้ชำระพระไตรปิฎก มีพระสงฆ์ 218 รูป  กับราชบัณฑิตาจารย์อุบาสก 32 คน ช่วยกันชำระพระไตรปิฎก แล้วจารึกลงในใบลาน แล้วเสร็จใน 5 เดือน  นับเป็นการสังคายนาครั้งที่ 2 ในประเทศไทย

การชำระและจารึกกับการพิมพ์พระไตรปิฎกในประเทศไทย
                สมัยที่ ๑ ชำระและจารลงในใบลาน  กระทำที่เมืองเชียงใหม่ สมัยพระเจ้าติโลกราช ประมาณ พ.ศ. ๒๐๒๐ ตัวอักษรที่ใช้ในการจารึก คงเป็นอักษรแบบไทยล้านนา ซึ่งคล้ายกับอักษรพม่า
                สมัยที่ ๒ ชำระและจารลงในใบลาน  กระทำที่กรุงเทพ ฯ  เมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๑ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ฯ ให้ชำระและแปลฉบับอักษรลาวและอักษรรามัญ เป็นอักษรขอม ใส้ตู้ไว้ใน  หอมณเฑียรธรรม และถวายพระสงฆ์ไว้ทุกพระอารามหลวง
                สมัยที่ ๓ ชำระและพิมพ์เป็นเล่ม  กระทำที่กรุงเทพ ฯ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ  เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๓๑  ถึง พ.ศ. ๒๓๓๖ ได้คัดลอกตัวอักษรขอมในคัมภีร์ใบลาน  เป็นตัวอักษรไทย และชำระแก้ไข  แล้วพิมพ์เป็นเล่มหนังสือรวม ๓๙ เล่ม มีการประกาศสังคายนา แต่คนทั่วไป  ไม่ถือว่าเป็นการสังคายนา พิมพ์ออกมา ๑,๐๐๐ ชุด นับว่าเป็นครั้งแรกในประเทศไทย  ที่มีการพิมพ์พระไตรปิฎกเป็นเล่มด้วยตัวอักษรไทย ในการพิมพ์ครั้งนี้พิมพ์ได้ ๓๙ เล่มชุด  ยังไม่ได้พิมพ์อีก ๖ เล่ม มาพิมพ์เพิ่มเติมในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ฯ
                สมัยที่ ๔ ชำระและพิมพ์เป็นเล่ม  กระทำที่กรุงเทพ ฯ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ฯ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๘ ถึง พ.ศ. ๒๔๗๓ เรียกว่าพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ พิมพ์ ๑,๕๐๐ จบ   พระราชทานในพระราชอาณาจักร ๒๐๐ จบ พระราชทานในนานาประเทศ ๔๕๐ จบ อีก ๘๕๐ จบ    พระราชทานแก่ผู้บริจาคทรัพย์ขอรับหนังสือพระไตรปิฎก

                 ผลจากการส่งพระไตรปิฎกไปต่างประเทศ ทำให้มีผู้พยายามอ่านอักษรไทย เพื่อให้สามารถ  อ่านพระไตรปิฎกฉบับภาษาไทยได้ และได้มีภิกษุชาวเยอรมันเขียนหนังสือสดุดีไว้ว่า พระไตรปิฎกฉบับ   ของไทยสมบูรณ์กว่าฉบับพิมพ์ด้วยอักษรโรมัน ของสมาคมบาลีปกรณ์ในอังกฤษ เป็นอันมาก

ลำดับชั้นคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา
                 พระไตรปิฎก  เป็นหลักฐานชั้น ๑ เรียกว่า  พระบาลี
                 อรรถกถาหรือวัณณนา  เป็นคำอธิบายพระไตรปิฎก  เป็นหลักฐานชั้น ๒  มีขึ้นเมื่อประมาณ  พ.ศ. ๙๕๖
                 ฎีกา  เป็นคำอธิบายอรรถกถา  เป็นหลักฐานชั้น ๓  มีขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. ๑๕๘๗
                 อนุฎีกา  เป็นคำอธิบายฎีกา  เป็นหลักฐานชั้น ๔

การแปลพระไตรปิฎกภาษาบาลีเป็นภาษาไทย
                 การแปลพระไตรปิฎกเป็นภาษาไทย  ได้กระทำกันมาช้านานตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์  พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า ฯ  ได้โปรดเกล้า ฯ ให้จัดแปลไว้เป็นจำนวนมาก   ในรัชสมัยต่อ ๆ มา  การแปลก็ยังคงดำเนินไปเป็นครั้งคราว  ส่วนใหญ่จะแปลพระสุตตันตปิฎก พระวินัยปิฎกและพระอภิธรรมปิฎกมีน้อย  สำนวนโวหารในการแปลก็ผิดกันมาก เพราะต่างยุคต่างสมัย

                ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๓
 
                สมเด็จ พระอริยวงศาคตญาณ  สมเด็จพระสังฆราช (แพ  ติสสเทว) วัดสุทัศน์เทพวราราม ทรงปรารภว่า พระไตรปิฎกเป็นภาษาบาลี  ผู้ใคร่ศึกษาต้องรู้ภาษาบาลีอย่างลึกซึ้ง จึงจะศึกษาได้สมประสงค์ แม้มีผู้รู้แปลสู่ภาษาไทยอยู่บ้าง  ก็เลือกแปลเฉพาะบางตอน  ไม่ตลอดเรื่อง ถ้าสามารถแปลจบครบบริบูรณ์ ก็จะเป็นอุปการคุณแก่ พุทธบริษัทชาวไทยอย่างใหญ่หลวง  ในต่างประเทศ  ได้มีนักปราชญ์อุตสาหะแปลบาลีพระไตรปิฎกฝ่ายเถรวาท  ออกเป็นภาษาของเขาแล้ว  สำหรับฝ่ายมหายานนั้น ได้มีการแปลพระไตรปิฎก จากฉบับภาษาสันสกฤต  ออกเป็นภาษาของชาวประเทศที่นับถือลัทธิมหายาน มาแล้วช้านาน การที่นักปราชญ์ดังกล่าวจัดแปลพระไตรปิฎกเป็นภาษาของเขา ก็ด้วยเห็นประโยชน์ที่มหาชนชาวประเทศนั้น ๆ จะพึงได้รับการศึกษาพระไตรปิฎกเป็นสำคัญ จึงเป็นการสมควรด้วยประการทั้งปวง  ที่จะคิดจัดแปลพระไตรปิฎกเป็นภาษาไทยให้ตลอดสาย จะเป็นเครื่องเฉลิมพระเกียรติแห่งพระมหากษัตริย์  และประเทศไทยให้ปรากฎไปในนานาประเทศ แต่เนื่องด้วยการนี้เป็นการใหญ่  เกินวิสัยที่เอกชนคนสามัญจะทำให้สำเร็จได้   จึงขอให้กระทรวงธรรมการ นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์

                พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล  ทรงมีพระราชดำริเห็นชอบ   จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ  ให้รับการจัดแปลพระไตรปิฎกเป็นภาษาไทย  ไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ ถวายให้สมเด็จพระสังฆราชทรงเป็นประธานในการนี้  ให้กรมธรรมการเป็นผู้อำนวยการฝ่ายคฤหัสถ์ จัดพิมพ์  พระไตรปิฎกเป็นสมุดตีพิมพ์และลงในใบลาน เพื่อเผยแพร่แก่พุทธบริษัทสืบไป

                คณะกรรมการแปลพระไตรปิฎก เริ่มดำเนินการแปลตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. ๒๔๘๓ โดยแบ่งเป็น ๒ ประเภทคือ

                ๑. แปลโดยอรรถ ตามความในบาลีพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ  สำหรับพิมพ์เป็นเล่มสมุด เรียกว่า  "พระไตรปิฎกภาษาไทย"

                ๒. แปลโดยสำนวนเทศนา  สำหรับพิมพ์ลงใบลาน เป็นคัมภีร์เทศนา เรียกว่า "พระไตรปิฎกเทศนาฉบับหลวง"   แบ่งออกเป็น ๑,๒๕๐ กัณฑ์ โดยถือเกณฑ์พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูป เมื่อคราวจตุรงคสันนิบาตในสมัยพุทธกาล เป็นพระวินัยปิฎก ๑๘๒ กัณฑ์ พระสุตตันตปิฎก ๑,๐๕๔ กัณฑ์   พระอภิธรรมปิฎก ๑๔ กัณฑ์ พิมพ์ลงใบลานเสร็จเรียบร้อยเป็นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๒

                ต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๕ รัฐบาลไทยดำริจะจัดทำพิธีฉลองยี่สิบห้าพุทธศตวรรษ ในปี พ.ศ. ๒๕๐๐

                คณะสังฆมนตรีพิจารณาเห็นสมควร  จัดสร้างพระไตรปิฎกภาษาไทย  ซึ่งคณะสงฆ์ได้ตั้งกรรมการจัดแปล   และกำลังตรวจสำนวน  ทำต้นฉบับสำหรับพิมพ์อยู่แล้วนั้น  เพื่อเป็นอนุสาสนีย์เนื่องในงานนั้นด้วย

                จึงได้กำหนดจำนวนหนังสือที่จะพิมพ์ จากจำนวนที่กำหนดไว้เดิม ๑,๐๐๐ จบ  เป็น ๒,๕๐๐ จบ เพื่อให้เหมาะสมแก่งานฉลองยี่สิบห้าพุทธศตวรรษ

               ในปี พ.ศ. ๒๕๑๔  กรมศาสนาได้ดำเนินการจัดพิมพ์เป็นครั้งที่ ๒ เห็นว่าจำนวนเล่มที่พิมพ์ ครั้งแรกชุดละ ๘๐ เล่ม  เพื่อให้ไม่หนาเกินไป  และมีจำนวนเล่มเท่าจำนวนพระชนมายุของพระพุทธเจ้า   แต่ทำให้การอ้างอิงไม่ตรงกับเล่มในฉบับบาลี ซึ่งมีอยู่ ๔๕ เล่ม ในการพิมพ์ครั้งนี้จึงพิมพ์จบละ ๔๕ เล่ม    และประจวบกับปี พ.ศ. ๒๕๑๔ นับเป็นมหามงคลสมัยซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติมาบรรจบครบ ๒๕ ปี  ทางราชการได้จัดพระราชพิธีรัชดาภิเษก ถวายเป็นการเฉลิมพระเกียรติ   จึงตกลงเรียกพระไตรปิฎกฉบับนี้ว่า  "พระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับหลวง" จัดพิมพ์จำนวน ๒,๐๐๐ จบ จบละ ๔๕ เล่ม

ที่มา  :  หอมรดกไทย