ผู้เขียน หัวข้อ: "ผู้อื่นในตัวเรา" ข้อคิดจากหนังสือ วันที่ถอดหมวก : เสกสรรค์ ประเสริฐกุล  (อ่าน 4577 ครั้ง)

ออฟไลน์ เลิศชาย ปานมุข

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3926

"วันที่ถอดหมวก" ที่เขียนโดย "อาจารย์เสกสรรค์ ประเสริฐกุล" ผู้มีความเฉียบขาดในการวิเคราะห์สังคมในแง่มุมด่าง ๆ

อาจารย์เสกสรรค์ ประเสริฐกุล กล่าวว่า ...

"เนื้อหาของงานเขียนทั้งหมดแ้ม้จะเต็มไป
ด้วยเรื่องราวเล็ก ๆ ในชีวิตประจำวัน
แต่สำหรับผมนับเป็นก้าวใหญ่ของการเติบโต"


คำว่า "เติบโต" ทำให้คิดถึงใครบางคนอย่างช่วยไม่ได้ เธอชอบใครคำนี้ที่สุด ...

เรื่องเล่าต่อไปนี้ อาจจะมีคำตอบของ "ใครบางคน" ที่ค้นหาอยู่บ้างก็ได้ ...

ผู้อื่นในตัวเรา

แม้ผมจะอยู่อย่างสันโดษเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็คบหามิตรสหายเป็นจำนวนมากทำให้ได้รู้จักนิสัยใจคอของผู้คนที่แตกต่างหลากหลาย

แน่นอน เมื่อนับเป็นเพื่อน ผมย่อมยึดถือว่าพวกเขาเป็นคนดีกระนั้นก็ตาม ผมอดสังเกตไม่ได้ว่าบางคนมีพฤติกรรม "ประหลาดพิกล"

ยกตัวอย่างเช่น คนหนึ่งชอบสะสมรถหรูหราราคาแพง ทั้ง ๆ รายได้ใช่ถึงขั้นมหาเศรษฐีอีกคนหนึ่งชอบย้ายบ้านให้ไกลห่างเพื่อนพ้อง และทุกครั้งที่คุยกันว่าในโลกนี้มีสิ่งใดดี เขาจะหาด้านลบมาหักล้างได้ทุกประเด็น ส่วนคนที่สาม อะไร ๆ ก็พอทนแต่ชอบแต่งตัวตรงข้ามทฤษฎีความงามและกาลเทศะทั้งปวง ประมาณว่าท่อนบนใส่เสื้อหรูแต่ท่อนล่างกลับนุ่งกางเกงหูรูดสีฉูดฉาด

ความที่สนิทกัน ผมจึงค้นพบว่าสิ่งเหล่านี้มีที่มาที่ไปแต่ละคนล้วนมีความในใจบางอย่างเป็นแรงขับเคลื่อนนิสัยแปลก ๆ เหล่านั้น บ้างเคยถูกญาติแฟนเก่าหมิ่นหยามเรื่องความจนบางคนเคยเจ็บปวดมาจากชีวิตสมรส และอย่างน้อยมีหนึ่งคนที่เกิดมามีเงินแต่เบื่อวัฒนธรรมสำเร็จรูปของคนรวย กระทั่งอยากทำทุกอย่างตรงข้าม

ผมเคยเอาเรื่องราวของมิตรสหายเหล่านี้มาขบคิดอยู่เงียบ ๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งพบว่าจริง ๆ มันไม่ใช่เรื่อง "ประหลาดพิกล" แต่อย่างใด หากพวกเขาจะผิดแผกแตกต่างจากคนอื่นบ้างก็คงเฉพาะรายละเอียดรูปธรรมของกรณี ทว่าโดยเนื้อแท้แล้ว ใครจะปฏิเสธได้ว่านี่มิใช่ปรากฎการณ์ทั่วไป

คนเราเกิดมามีชีวิตกี่เสี้ยวส่วนเป็นตัวของตัวเอง หลายอย่างทำไปเพื่อสนองความคาดหวังของผู้อื่นหรือไม่ก็เพื่อประชดต้านข้อเรียกร้องที่สนองไม่ได้ เท่านั้นยังไม่พอ มีบ่อยครั้งที่คนชอบคนชังซึ่งเคยคาดหวังหรือหยามหมิ่น ล้วนแยกจากไปหมดแล้ว แต่เราก็ยังคงทำทุกอย่างตามแรงกดดันที่ตกค้างโดยมิกล้าเปลี่ยนแปลง

ด้วยเหตุนี้ในแง่หนึ่งใช่หรือไม่ว่าชีวิตของทุกท่านเหมือนมีคนแอบ "สั่งการ" อยู่หลายคน?

เริ่มตั้งแต่เยาว์วัย พ่อแม่ต่างฝากฝังให้เป็นโน่นเป็นนี่บ้างอยากให้ช่วยลบปมด้อยของบรรพชนไม่เคยเรียนหนังสือก็อยากให้เรียนแทน ไม่เคยมั่งคั่งก็อยากให้รวยแทน และที่หนักหน่วงกว่าคือบางทีอยากให้ลูกทำทุกอย่างเหมือนตัวเอง

ผมรู้จักคนจำนวนไม่น้อยที่เกิดมาเหมือนไม่เคยเกิดเพราะผ่านวันเวลาด้วยการเอาชีวิตพ่อแม่มาผลิตซ้ำแทบทุกประการ

ครั้นเติบโตเป็นหนุ่มสาว ความอยากรักและอยากถูกรัก ทำให้คนส่วนใหญ่ยังต้องแบกความฝันของผู้อื่นแบกสำเร็จก็มีล้มเหลวก็มาก บางท่านคนรักจากไปนานแล้ว ยังมิกล้าวางความฝันที่อีกฝ่ายหนึ่งทิ้งไว้

บางคนทุ่มชีวิตสร้างสมบัติพัสถานเพราะเจ็บใจที่แผนเก่าเคยปรามาส บางคนเปลี่ยนคนรักมาหลายครั้งยังไม่กล้ามีความสุขกับปัจจุบัน พอตกค่ำเมามาย ได้แต่ค้างแรมกับ "ความทรงจำ" อะไรทำนองนี้

สุดท้าย เมื่อสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาได้ในบางวงการ เรื่องกลายเป็นว่าตั้งแต่หัวจรดเท้าและตั้งแต่เช้าจนเย็นวันเวลาของท่านกลับถูกล่ามร้อยไว้ด้วยความคาดหวังของผู้อื่นทั้งสิ้น ทุกคนเข้ามาขอให้ทำเรื่องนี้จนดู ๆ ไปแล้วเปรียบเสมือนในตัวท่านมีแต่ผู้อื่นแอบเข้ามาใช้ชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาผู้ที่มิกล้าและมิอาจใช้ชีวิตของพวกเขาเอง

ถามว่า แล้วท่านทำสิ่งเดียวกันหรือไม่ เคยแทรกตัวเข้าไปในชีวิตผู้อื่นหรือไม่?คำตอบคือ ย่อมต้องเคย ทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว กระทั่งมีอยู่ไม่น้อยที่เสพติดแบบแผนความสัมพันธ์เช่นนี้ทำไปทำมาทั่วทั้งสังคมผู้คนจึงพบกับแรงกดดันจากรอบทิศทาง ในตัวท่านมีผู้อื่น ในผู้อื่นมีตัวท่านทุกฝ่ายล้วนช่วงชิงเบียดแบ่งชีวิตที่มิใช่ของตน

สภาพที่เกิดขึ้นก็คือ หลายคนอยากถอนตัวออกจากตาข่ายกรรมดังกล่าว แต่น้อยคนทำได้สำเร็จส่วนใหญ่แล้วได้แต่กล้ำกลืนฝืนทน ยามคล้อยตาม ท่านสูญเสียอิสรภาพ ยามปฏิเสธ ท่านกลายเป็น "ขบถ"โดดเดี่ยวไร้คนเข้าใจ มันเป็นริ้วแส้ที่เฆี่ยนตีกันมาเป็นลูกโซ่จากรุ่นหนึ่งสู่รุ่นหนึ่ง จากคนหนึ่งสู่อีกคนหนึ่งส่งต่อไปทั่ว จนแทบจำแนกแยกแยะไม่ออกว่ามีจุดเริ่มต้นอยู่ ณ ที่ใด

ถามต่อไปว่า แล้วทางออกมีบ้างไหม? อันที่จริงมีอยู่และไม่จำเป็นต้องนำไปสู่การสิ้นสลายของสัมพันธภาพ

การมีผู้อื่นในตัวเรา และมีเราอยู่ในผู้อื่น ยังมีด้านที่จริงกว่า ดีกว่า และสวยงามกว่าที่เป็น อยู่มากมายหลายเท่าแต่ทุกคนจะต้องเริ่มต้นด้วยการทำตัวเองไม่ให้มีใคร ไม่มีแม้กระทั่งตัวตน นี่เป็นกลยุทธ์ของฟ้าดินที่ท่านจะต้องไม่มีอะไรเลยเพื่อจะได้มีทุกอย่างตามหลังมา

พูดให้ชัดขึ้นก็คือ ทุกคนคงต้องเริ่มต้นด้วยการสำรวจตัวเองว่าที่ยอมให้ความต้องการของผู้อื่นมากดดันนั้นลึก ๆ แล้วเป็นเพราะมุ่งหวังสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นวัตถุเงินทอง ความมั่นคงปลอดภัยในชีวิต หรือความรักการยอมรับ และความเข้าใจ ฯลฯ จากนั้นจะพบว่าในทุกกรณีล้วนเป็นท่านนั่นแหละที่ยอมเสียอิสรภาพเพื่อแลกกับบางสิ่งบางประการ

เช่นนี้แล้ว วิธีเดียวที่จะทำให้คนอื่นครอบงำท่านไม่ได้คือ การไม่ปรารถนาอะไรจากพวกเขาเมื่อไม่ปรารถนาสิ่งใด คนอื่นไม่เพียงต้องถอนแรงกดดันออกไปแม้แต่ตัวท่านบัดนี้ยังต้องถือว่า ถอนตัวจากตนเอง

ถอนตัวจากตนเอง ในโลกมีเรื่องเช่นนั้นด้วยหรือ?

มีแน่นอน และนี่คือจุดเริ่มต้นของการเป็น "ตัวของตัวเอง"

ใช่หรือไม่ว่าเมื่อเลิกต้องการสิ่งต่าง ๆ จากผู้อื่น ท่านย่อมก้าวหน้าพ้นโซ่ตรวนภายนอกและเมื่อเลิกยึดติดในความต้องการของตัวเอง ท่านย่อมหลุดพ้นจากพันธนาการภายในชีวิตเช่นนี้หากไม่เรียกว่าอิสรภาพ ย่อมไม่ทราบว่าจะเรียกหามันว่ากระไร

จากนั้นเมื่อเริ่มทบทวนความสัมพันธ์ทั้งปวง ท่านจะพบว่า ตัวเองสามารถสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ด้วยความโปร่งโล่งมากกว่าเดิม ทุกอย่างเป็นเรื่องจริงแท้ รักเพราะอยากรัก ให้เพราะอยากให้เพราะไม่หวังจะได้สิ่งใดกลับมา... ยิ่งไปกว่านี้ เนื่องเพราะไม่มีผลประโยชน์ทั้งทางวัตถุและจิตใจท่านจึงกล้าท้วงติงผู้คนทั้งห่างไกลและใกล้ชิด รวมทั้งสามารถเลือกตอบสนองเฉพาะเรื่องที่ท่านเห็นด้วยอย่างแท้จริง

สิ่งมหัศจรรย์ในเรื่องนี้ก็คือความที่ท่านไม่มีตัวเอง หรืออย่างน้อยไม่ยึดถือตัวเองเป็นศูนย์กลางของความต้องการพื้นที่ที่ท่านเหลือไว้ให้ผู้อื่นจึงมากมายไร้ขอบเขต กลายเป็นว่าชีวิตท่านกลับเป็นหนึ่งเดียวกับผู้คน หนึ่งกับทั้งหมดแยกกันไม่ออก อิสรภาพของปัจเจกกับเอกภาพขององค์รวมกลายเป็นเรื่องเดียวกัน

ใช่ การมีผู้อื่นอยู่ในชีวิตของเราและมีตัวเราอยู่ในชีวิตของคนอื่นนั้น ถึงอย่างไรคงเป็นเรื่องเลี่ยงไม่พ้นเพราะท้ายที่สุดแล้วไม่ว่ามองจากทางโลกหรือทางธรรม ความเกี่ยวโยงระหว่างคนกับคนเป็นทั้งความจริงและความจำเป็นของการมีชีวิตอยู่

ประเด็นมีอยู่เพียงว่า จะจัดความสัมพันธ์เหล่านี้กันอย่างไร

พูดก็พูดเถอะ การครอบงำที่มนุษย์ทำต่อกัน แท้จริงแล้วนับเป็นความสัมพันธ์ทางอำนาจอย่างหนึ่งแต่มันไม่ได้เกิดจากโครงสร้างทางสังคมอย่างเดียว ต้นตอบ่อเกิดที่ใหญ่โตกว่ากลับอยู่ในใจคน

ในเมื่อเหตุเกิดข้างในก็ต้องดับจากข้างใน



ที่มา  :  http://www.gotoknow.org/posts/513568