ผู้เขียน หัวข้อ: 5 พฤติกรรมภาวะผู้นำที่จะทำให้งานใหญ่ล้มไม่เป็นท่า  (อ่าน 1952 ครั้ง)

ออฟไลน์ เลิศชาย ปานมุข

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3923
5 พฤติกรรมภาวะผู้นำยอดแย่ที่จะทำให้งานใหญ่ล้มไม่เป็นท่า ถ้าทำกับลูกน้องแบบนี้

หากเราจะกล่าวถึงวุฒิภาวะ วุฒิภาวะเป็นสิ่งที่ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะไหนก็ควรมีติดตัวเอาไว้เสมอ เพราะถ้าวันหนึ่งคุณได้ขึ้นเป็นผู้นำ จะทำให้คุณบริหารคนได้ง่ายยิ่งขึ้นกว่าเดิม

หากคุณอยากเป็นผู้นำที่ลูกน้องเคารพและเชื่อมั่น ต้องปฏิบัติตัวให้เป็นแบบอย่างด้วยพฤติกรรมที่ดีและเหมาะสม แสดงวุฒิภาวะของการเป็นผู้นำออกมาได้อย่างน่าเชื่อถือที่สุด มีความฉลาดทางความคิดและอารมณ์ ไม่ใช้อำนาจในทางที่ผิด ข่มเหงผู้ที่ด้อยกว่า จะช่วยให้ผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาพร้อมใจกันอยากทำงานออกมาจากใจ ไม่ใช่เพียงแค่หน้าที่

การเป็นผู้นำนั้นต้องสร้างความสามัคคีไม่ใช่ความแตกแยกเพื่อสะท้อนสะภาพลักษณ์ของการเป็นผู้นำที่ดี  แต่ถ้าเราแสดงออกด้วยพฤติกรรมทั้ง 5 แบบเหล่านี้ละก็ นอกจากจะไม่มีใครอยากร่วมงานด้วยแล้ว ยังทำให้เสียลูกน้องดี ๆ ไปแบบไม่ทันได้ตั้งตัว

เรามาดูกันดีกว่าว่าภาวะผู้นำแบบไหนที่ไม่ควรมี

1.ไล่บี้งานลูกน้อง

การมอบหมายงานทุกครั้ง ต้องมาพร้อมกับความชัดเจนในการส่งงาน เพื่อให้พนักงานสามารถจัดสรรเวลาการทำงานของตัวเองได้ง่ายขึ้นเพื่อที่จะส่งงานได้ตามกำหนด แม้หัวหน้าจะมีสิทธิ์ในการทวงถามงาน แต่หากยังไม่ถึงกำหนดส่งก็ไม่ควรไล่บี้จนลูกน้องเกิดความกังวล และทำงานรน ๆ จนเกิดข้อผิดพลาด

ถ้าต้องการงานชิ้นนั้นอย่างเร่งด่วนจริง แต่ลูกน้องยังไม่ส่งมอบงาน ก็ลองไถ่ถามลูกน้องถึงปัญหาในการทำงานด้วยความใจเย็น เผื่อว่าเราจะมีส่วนช่วยในการให้ลูกน้องทำงานได้รวดเร็วขึ้นกว่าเดิม

2.พูดคำไม่สุภาพกับลูกน้อง

การสื่อสารเป็นทักษะสำคัญสำหรับคนทำงาน แต่ต้องมาพร้อมกับการสื่อสารที่ดี ไม่ทำร้ายคนฟัง ไม่ว่าเราจะอยู่ลำดับไหนด้วยเช่นกันครับ ดังนั้นการเป็นผู้นำที่ดีต้องมีสติในการสื่อสารเสมอ รวมไปถึงความฉลาดทางอารมณ์ที่ต้องใช้เหตุผลและคำพูดที่ดีไม่ทำร้ายจิตใจใคร จำไว้เสมอว่าคำพูดที่เราพูดออกไปแล้วนั้นไม่สามารถนำกลับมาได้

คำพูดส่งผลต่อพฤติกรรมของคนฟังเช่นกันครับ ถ้าเราใช้คำพูดร้าย ๆ หรือวิพากษ์วิจารณ์ลูกน้องต่อหน้าคนอื่นในบริษัท จะส่งผลให้เขาเสียความมั่นใจและเสียบรรยากาศในการทำงาน กลับกันถ้าเราใช้คำพูดที่ดี ใจเย็น มีเหตุผล จะช่วยให้ลูกน้องมีความเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น เพราะรับรู้ว่าหัวหน้ายังรับฟังเขาอยู่เสมอ

3.โยนความผิดให้ลูกน้อง

นับว่าเป็นเรื่องร้ายแรงสำหรับความสัมพันธ์ของคนในทีม เมื่อหัวหน้าถูกตำหนิจากเบื้องบนหรือผู้บริหาร และนำความเครียดนั้นมาลงกับลูกน้องด้วยการโยนความผิดให้คนอื่นนั้นอาจส่งผลไปถึงความแตกแยกได้เช่นกัน

ไม่ว่าความผิดนั้นจะมาจากใคร สิ่งแรกที่ควรทำคือช่วยกันคิดเพื่อหาทางแก้ ดีกว่าหาตัวคนผิด นอกจากเสียเวลาแล้ว ยังบั่นทอนจิตใจคนทำงานด้วยครับ ฉะนั้นหัวหน้าอย่างเราควรสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกน้องว่าทุกปัญหาย่อมมีทางแก้เสมอ

4. ปิดใจไม่ยอมรับฟังลูกน้อง

การเป็นผู้ฟังที่ดีไม่ใช่เรื่องน่าเสียหายสำหรับการเป็นผู้นำครับ แม้เราจะต้องเดินนำคนอื่นอยู่ข้างหน้า แต่การหยุดพัก ฟังเสียงคนรอบข้างเสียหน่อยจะช่วยให้เราได้ไอเดียดี ๆ ในการทำงานมากอีกมาย โดยเฉพาะลูกน้องของเราที่ได้ลงไปสัมผัสกับชิ้นงาน ทำให้พวกเขารู้ดีที่สุดว่าปัญหาของงานนั้นคืออะไร จะได้ช่วยกันหาทางแก้ได้อย่างถูกจุดที่สุด

การมีลูกน้องเป็นเพื่อนคู่คิดเหมือนได้ลาภอันประเสริฐ เพราะอย่างน้อยก็ดีกว่าการแก้ไขปัญหาคนเดียวครับ

5. ไม่พัฒนาลูกน้อง

การจะปกครองคนได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุดคือการไม่หวงความรู้ครับ เพราะการถ่ายทอดความรู้ให้กับคนในทีมเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยพัฒนาการทำงานต่อไปได้อย่างดีที่สุด เพราะหัวหน้าสามารถใช้ทักษะและประสบการณ์ที่มีบอกต่อได้อย่างน่าเชื่อถือ ถ้าปล่อยปะละเลย ไม่สนว่าลูกน้องเรียนรู้ไปถึงไหน ก็ยิ่งทำให้สถานการณ์ในทีมแย่ลงกว่าเดิมไปอีก

ถ้าหัวหน้าสามารถทำให้ลูกน้องของเราเก่งขึ้นเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้ลูกน้องมีความสามารถในการรับผิดชอบต่องานได้ดียิ่งขึ้นเท่านั้น เปิดทางให้ลูกน้องเข้ามาสื่อสาร สอบถาม และขอความคิดเห็น แลกเปลี่ยนมุมมองการทำงาน เชื่อผมสิครับว่า จะเป็นทีมที่แข็งแกร่งมากอย่างแน่นอน

มุมมองเหล่านี้สะท้อนการขาดภาวะการเป็นผู้นำได้เป็นอย่างดี แต่ถ้าเราแก้ไขให้เป็นไปในทางที่ดีได้นั้น การบริหารงานและบริหารคนจะเป็นเรื่องง่ายยิ่งกว่าเดิม ลูกน้องเองก็จะให้เกียรติและให้ใจในการทำงานกับเราแน่นอน

ขอบคุณข้อมูล, เครดิต :
https://happyworkapp.com/en/blog-detail/knowledge