เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
Menu
หน้าแรก
ช่วยเหลือ
ครูเลิศชาย ปานมุข
ครูเลิศชาย ปานมุข
ความรู้ดีดีเพิ่มเติมเกี่ยวกับการศึกษา
ความรู้เกี่ยวกับการศึกษา
พัฒนาสมองห้าด้าน (ครูเพื่อศิษย์)
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
พิมพ์
หน้า:
1
ผู้เขียน
หัวข้อ: พัฒนาสมองห้าด้าน (ครูเพื่อศิษย์) (อ่าน 4812 ครั้ง)
เลิศชาย ปานมุข
Administrator
Hero Member
กระทู้: 3923
พัฒนาสมองห้าด้าน (ครูเพื่อศิษย์)
เมื่อ:
กรกฎาคม 20, 2015, 12:33:00 AM
การพัฒนาสมองที่สำคัญ มาจากหนังสือ 21st Century Skills : Rethinking How Students Learn บทที่ 1 Five Minds for the Future เขียนโดยศาสตราจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ แห่งทฤษฎีพหุปัญญา (Multiple Intelligence) คือ Howard Gardner
นี่คือพลังสมอง หรือจริต ๕ แบบ ที่คนในอนาคตจะต้องมี และครูเพื่อศิษย์จะต้องหาทางออกแบบการเรียนรู้ให้ศิษย์ได้พัฒนาการสมองใน ๕ ด้านนี้ พลังสมอง ๓ ใน ๕ ด้านนี้ เป็นพลังเชิงทฤษฎี หรือที่เรียก cognitive mind ได้แก่ สมองด้านวิชาและวินัย (disciplined mind) สมองด้านสังเคราะห์ (synthesizing mind) และสมองด้านสร้างสรรค์ (creating mind) อีก ๒ ด้านเป็นพลังด้านมนุษย์สัมผัสมนุษย์ ได้แก่ สมองด้านเคารพให้เกียรติ (respectful mind) และด้านจริยธรรม (ethical mind)
การเรียนรู้เพื่อพัฒนาสมอง ๕ ด้าน ไม่ดำเนินการแบบแยกส่วน แต่เรียนรู้ทุกด้านไปพร้อมๆ กัน หรือที่เรียกว่าเรียนรู้แบบบูรณาการ และไม่ใช่เรียนจากการสอน แต่เป็นการเรียนจากการปฏิบัติโดยตัวนักเรียนเอง ครูต้องทำหน้าที่ออกแบบการเรียนรู้ และช่วย facilitate หรือเป็นโค้ช ครูที่เก่งและเอาใจใส่จะช่วยให้นักเรียนเรียนรู้ได้ลึกและเชื่อมโยง นี่คือมิติทางปัญญา
สมองด้านวิชาและวินัย
คำว่า disciplined มีได้ ๒ ความหมาย หมายถึงมีความรู้และทักษะในวิชาในระดับที่เรียกว่าเชี่ยวชาญ (master) และสามารถพัฒนาตนเองในการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา
หลักการเรียนรู้ในศตวรรษที่ ๒๑ คำว่า ?เชี่ยวชาญ? ในโรงเรียน หรือในการเรียนรู้ของเด็ก ต้องคำนึงถึงบริบท โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริบทของการเจริญเติบโตทางสมองของเด็ก
คำว่า ?เชี่ยวชาญ? หมายความว่า ไม่เพียงรู้สาระของวิชานั้น แต่ยังคิดแบบผู้ที่เข้าถึงจิตวิญญาณของวิชานั้น คนที่เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ ไม่เพียงรู้เรื่องราวทางประวิติศาสตร์ แต่ยังคิดแบบนักประวัติศาสตร์ด้วย
เป้าหมายคือการเรียนรู้แก่นวิชา ไม่ใช่จดจำสาระแบบผิวเผิน รู้แก่นวิชาจนสามารถเอาไปเชื่อมโยงกับวิชาอื่นได้
สมองด้านสังเคราะห์
นี่คือความสามารถในการรวบรวมสารสนเทศและความรู้ต่างๆ มากลั่นกรองเฉพาะส่วนที่สำคัญ และจัดระบบนำเสนอใหม่อย่างมีความหมาย คนที่มีความสามารถสังเคราะห์ได้ดีเหมาะที่จะเป็นครู นักสื่อสาร และผู้นำ
ครูต้องจัดให้ศิษย์ได้เรียนเพื่อพัฒนาสมองด้านสังเคราะห์ ซึ่งต้องเรียนโดยการฝึกเป็นสำคัญ โดยครูต้องเสาะหาทฤษฎีเกี่ยวกับการสังเคราะห์มาใช้ในขั้นตอนของการเรียนรู้จากการทำ reflection หรือ AAR หลังการทำกิจกรรมเพื่อฝึกหัด การฝึกสมองด้านสังเคราะห์ต้องออกแบบการเรียนรู้ให้ ?ปฏิบัตินำ ทฤษฎีตาม?
และการสังเคราะห์ กับการนำเสนอเป็นคู่แฝดกันเป็น multimedia presentation เป็นภาพยนตร์สั้น เป็นละคร
สมองด้านสร้างสรรค์
นี่คือทักษะที่คนไทยขาดที่สุด โดยที่คุณสมบัติสำคัญที่สุดของสมองสร้างสรรค์คือ ?คิดนอกกกรอบ?
แต่คนเราจะคิดนอกกรอบเก่งต้องเก่งความรู้ในกรอบเสียก่อน แล้วจึงคิดนอกกรอบ คนที่มีความรู้และทักษะอย่างดีเรียกว่าผู้เชี่ยวชาญ ต่างจากผู้สร้างสรรค์ตรงที่ผู้สร้างสรรค์ทำสิ่งใหม่ๆ ออกไปนอกขอบเขตหรือวิธีการเดิมๆ และการสร้างสรรค์ต้องใช้สมองหรือทักษะอื่นๆ ทุกด้านมาประกอบกัน
การสร้างสรรค์ที่ยิ่งใหญ่มักเป็นผลงานของคนอายุน้อย เพราะคนอายุน้อยมีธรรมชาติติดกรอบน้อยกว่าคนอายุมาก เป็นเครื่องบ่งชี้ว่าการมีความรู้เชิงวิชาและวินัย ความสร้างสรรค์นั้นเรียนรู้หรือฝึกได้ ครูเพื่อศิษย์จึงต้องหาวิธีฝึกฝนความสร้างสรรค์ให้แก่ศิษย์
สมองที่สร้างสรรค์ คือสมองที่ไม่เชื่อว่าวิธีการหรือสภาพที่ถือว่าดีที่สุดที่มีอยู่นั้น ถือเป็นที่สุดแล้ว เป็นสมองที่เชื่อว่ายังมีวิธีการหรือสภาพที่ดีกว่าอย่างมากมายซ่อนอยู่หรือรอปรากฏตัวอยู่ แต่สภาพหรือวิธีการเช่นนั้นจะเกิดได้ต้องละจากกรอบวิธีคิดหรือวิธีดำเนินการแบบเดิมๆ ศัตรูสำคัญที่สุดของความคิดสร้างสรรค์คือการเรียนแบบท่องจำ
เปรียบเทียบสมอง ๓ แบบข้างต้นได้ว่า สมองด้านวิชาและวินัยเน้นความลึก (depth) สมองด้านการสังเคราะห์เน้นความกว้าง (breadth) และสมองด้านสร้างสรรค์เน้นการขยายหรือฝืน (stretch)
สมองด้านเคารพให้เกียรติ
คุณสมบัติด้านเคารพให้เกียรติผู้อื่นมีความจำเป็นในยุคโลกาภิวัตน์ที่มีความแตกต่างหลากหลายทั้งด้านกายภาพและด้านนิสัยใจคอ วัฒนธรรมความเป็นอยู่ ความเชื่อ ศาสนา มนุษย์ในศตวรรษที่ ๒๑ จึงต้องเป็นคนที่คุ้นเคยและให้เกียรติคนที่มีความแตกต่างจากที่ตนคุ้นเคยได้ ครูเพื่อศิษย์จะฝึกฝนสมองด้านนี้ของศิษย์
สมองด้านจริยธรรม
นี่คือทักษะเชิงนามธรรม และเรียนรู้ซึมซับได้โดยการชวนกันสมมติและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกัน ว่าตัวเองเป็นอย่างไรในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง และหากคนทั้งโลกเป็นอย่างนี้หมด โลกจะเป็นอย่างไร รวมทั้งอาจเอาข่าวเรื่องใดเรื่องหนึ่งขึ้นมาคุยกัน และผลัดกันออกความเห็นว่าพฤติกรรมในข่าวก่อผลดีหรือผลเสียต่อการอยู่รวมกันเป็นสังคมที่มีสันติสุขอย่างไร สมองด้านจริยธรรมปลูกฝังกล่อมเกลามาตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ เรียนรู้พัฒนาได้จนสูงวัยและตลอดอายุขัย
แนวความคิดเรื่องห้าฉลาดนี้ ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของการพัฒนาทฤษฎี ครูเพื่อศิษย์ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะพัฒนาทฤษฎีขึ้นใช้เอง ทฤษฎีไม่ใช่สิ่งตายตัว มีสิทธิ์สร้างเฉพาะนักวิชาการยิ่งใหญ่เท่านั้น คนที่มุ่งมั่นทำงานด้านใดด้านหนึ่งมีสิทธิ์พัฒนาทฤษฎีขึ้นใช้เป็นแนวทางในการทำงานสร้างสรรค์ของตน
ดังนั้น ครูเพื่อศิษย์ทุกคนควรสร้างทฤษฎีในการทำงานของตน แล้วลงมือปฏิบัติและหาทางเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ เพื่อพิสูจน์ว่าทฤษฎีของตนถูกต้องหรือมีข้อบกพร่องที่จะต้องปรับปรุงอย่างไร การทำงานแบบนี้ คือการทำงานบนฐานการวิจัยนั่นเอง
ที่มา :
http://krutoom.wordpress.com/
Tweet
พิมพ์
หน้า:
1
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
ครูเลิศชาย ปานมุข
ความรู้ดีดีเพิ่มเติมเกี่ยวกับการศึกษา
ความรู้เกี่ยวกับการศึกษา
พัฒนาสมองห้าด้าน (ครูเพื่อศิษย์)
Search
ชื่อผู้ใช้งาน
รหัสผ่าน
คงสถานะการเข้าระบบไว้ตลอด
ลืมรหัสผ่าน?